ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังคงเป็นหมุดหมายสำคัญของแบรนด์จากญี่ปุ่น และหนึ่งใน Strategic Market คือ ประเทศไทย อย่างล่าสุดเชนร้านสินค้าไลฟ์สไตล์ แฟชั่น และเฟอร์นิเจอร์สัญชาติญี่ปุ่น “NITORI” (นิโทริ) เตรียมเปิดสาขาแรกในไทย ปี 2024 และเร็วๆ นี้ “niko and …” (นิโกะแอนด์) ร้านจำหน่ายเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ของใช้ เฟอร์นิเจอร์ ไปจนถึงอาหารและเครื่องดื่ม จะเปิดสาขาแรกในไทยเป็น Global Flagship Store ที่สยามสแควร์วัน ในเดือนเมษายน 2023 นับเป็นอีกความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของเชนรีเทลจากญี่ปุ่นรุกตลาดไทย
จับตา “niko and …” เชนร้านแบรนด์สินค้าไลฟ์สไตล์–แฟชั่น และ “NITORI” เชนเฟอร์นิเจอรจากญี่ปุ่น เปิดสาขาในไทย
ในช่วงเกือบ 20 ปีนี้ มีเชนค้าปลีกจากญี่ปุ่นในหลายเซ็กเมนต์เข้ามาปักหมุดในไทย และเดินหน้าขยายสาขาต่อเนื่องถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นร้านสินค้าไลฟ์สไตล์ ของใช้ เฟอร์นิเจอร์ และของตกแต่งบ้าน, ร้านเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย และเชนซูเปอร์มาร์เก็ต ไม่ว่าจะเป็น
– MUJI แบรนด์สินค้าไลฟ์สไตล์ เสื้อผ้า ของใช้ เฟอร์นิเจอร์ และของตกแต่งบ้าน เปิดร้านสาขาแรกในไทยที่เซ็นทรัล ชิดลมเมื่อปี 2006 ด้วยโมเดลธุรกิจยุคแรก ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลซื้อแฟรนไชส์เข้ามาเปิดในไทย ต่อมาได้ปรับเป็นการร่วมทุนระหว่างเซ็นทรัล กับ Ryohin-Keikaku ตั้งบริษัท มูจิ รีเทล (ประเทศไทย) จำกัด ถึงปัจจุบันมี 26 สาขา และมีแผนเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีก 8 – 10 สาขาภายในปี 2023 โดยจะขยายไปยังหัวเมืองในต่างจังหวัดมากขึ้น
- อ่านเพิ่มเติม: กางแผน “MUJI” ลุยขยายสาขาในไทย เล็งเปิด “Flagship Store” 4,500 ตร.ม. – โมเดลไซส์เล็ก “Convenience Store”
– Uniqlo แบรนด์เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เปิดสาขาแรกในไทยปี 2011 ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ และประเทศไทยถือเป็นตลาดที่ 3 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่อจากมาเลเซีย และสิงคโปร์ ปัจจุบันมี 62 สาขา ทั้งโมเดลปิดในศูนย์การค้า และโมเดลโรดไซด์ เป็น Stand Alone ขยายไปตามย่านที่อยู่อาศัย – ชุมชนแถบชานเมือง รวมทั้งเปิดช่องทางออนไลน์
– Don Don Donki (ดองกิ) ซูเปอร์มาร์เก็ตที่ชูจุดเด่นความเป็นญี่ปุ่น เปิดสาขาแรกในไทยที่ทองหล่อในปี 2019 ปัจจุบันมี 6 สาขา และตั้งเป้ามี 12 สาขาภายในปี 2025
ขณะที่ในปี 2023 และ 2024 เตรียมพบกับอีก 2 เชนร้านไลฟ์สไตล์ แฟชั่น และร้านเฟอร์นิเจอร์จากญี่ปุ่น นั่นคือ
– niko and … (นิโกะแอนด์)
แบรนด์ไลฟ์สไตล์ของญี่ปุ่นที่ส่งมอบไลฟ์สไตล์และวัฒนธรรม “style editorial brand” อยู่ในเครือบริษัท Adastria Co., Ltd. เป็นกลุ่มบริษัท Casual Fashion ชั้นนำของญี่ปุ่นที่มีแบรนด์มากกว่า 30 แบรนด์และร้านค้ากว่า 1,400 แห่งทั่วโลก มีสำนักงานใหญ่ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
เปิดให้บริการร้าน “niko and …” ปีนี้เป็นปีที่ 16 แล้ว ปัจจุบันมี 170 สาขา แบ่งเป็นญี่ปุ่น 142 สาขา และต่างประเทศ 28 สาขา (ข้อมูล ณ สิ้นเดือนมกราคม 2023, รวม WEB Store)
นำเสนอผลิตภัณฑ์ และประสบการณ์ที่หลากหลายให้กับลูกค้า ด้วยแนวคิดของแบรนด์ “uni9ue senses” คีย์เวิร์ด 9 อย่าง ประกอบด้วยเสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่อาศัย การเล่น ความรู้ สุขภาพ การท่องเที่ยว เสียง LOCAL
ในร้านมีสินค้าและบริการหลายหมวดหมู่ ได้แก่
– แฟชั่นเครื่องแต่งกาย
– สินค้าไลฟ์สไตล์ และของใช้ในครัวเรือนที่ร่วมมือกับแบรนด์หรือคอนเทนต์ทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศ
– เฟอร์นิเจอร์ และของใช้ในชีวิตประจำวัน “niko and … FURNITURE & SUPPLY”
– คาเฟ่และร้านอาหาร “niko and … COFFEE” นำเสนอประสบการณ์ด้านอาหารอันหลากหลาย ด้วยแนวคิด “การค้นพบและความตื่นเต้นแบบใหม่ในด้านอาหาร”
สินค้าในร้านไม่เพียงแต่ใช้งานได้จริง แต่ยังแฝงด้วยอารมณ์ขัน ทำให้ได้พบเจอความประหลาดใจและการค้นพบที่คาดไม่ถึง และเข้ากันได้ดีกับไลฟ์สไตล์ของตัวเองในท้ายที่สุด โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักชายหญิงวัย 20 – 30 ปี
ในส่วนของต่างประเทศ บริษัท Adastria ได้ขยายธุรกิจ “niko and …” ไปยังประเทศจีน และส่งมอบสินค้าและบริการที่เหมาะสมกับแต่ละภูมิภาค ขณะที่ล่าสุดบริษัทแม่จากญี่ปุ่น ได้ก่อตั้งบริษัทใหม่ในประเทศไทย เพื่อดำเนินธุรกิจ “niko and …” ในไทย
เตรียมพบกับ “niko and …” สาขาแรกในไทยเดือนเมษายน 2023 ที่สยามสแควร์วัน ซึ่งจะเป็น Global Flagship Store ของแบรนด์ ขนาดพื้นที่ 999.19 ตารางเมตร มีทั้งหมด 4 ชั้น แบ่งเป็นบนดิน 3 ชั้น และใต้ดิน 1 ชั้น และอยู่ภายใต้แนวคิด “uni9ue senses” จำหน่ายสินค้าแฟชั่นเครื่องแต่งกาย, สินค้าไลฟ์สไตล์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน และบริการคาเฟ่
– NITORI
หลังจาก “NITORI” เชนร้านเฟอร์นิเจอร์รายใหญ่จากญี่ปุ่น ปัจจุบันมี 886 สาขา ทั้งในญี่ปุ่น, จีน, ไต้หวัน เดินหน้ารุกตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดสาขาแรกในมาเลเซียเมื่อเดือนมกราคม 2022 และต่อด้วยสิงคโปร์ ในเดือนมีนาคม 2022 โดยตั้งเป้าขยายในมาเลเซียเป็น 20 สาขา และสิงคโปร์ 10 สาขาภายใน 5 ปีจากนี้
นอกจากนี้ยังมีแผนเปิดสาขาในฟิลิปปินส์, ไทย, เวียดนาม, อินโดนีเซีย และเกาหลีใต้ ซึ่ง NITORI มีฐานการผลิตสินค้าอยู่ในไทย และเวียดนามอยู่แล้ว ดังนั้นการรุกอาเซียน จะเป็นจิ๊กซอว์สำคัญของตลาดนอกญี่ปุ่น
สำหรับตลาดไทย NITORI มีแผนจะเปิดสาขาที่ประเทศไทยในเดือนมีนาคม 2024 โดยคาดว่าจะเปิด 10 สาขาในกรุงเทพฯ และมีแนวโน้มว่าตลาดไทยจะสามารถเปิดสาขาได้ถึง 200 สาขา โดยจะเป็นการทยอยเปิดต่อเนื่องทุกปี
การเข้ามาปักธงของ “NITORI” ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งไทย สร้างความคึกคักตลาดค้าปลีกเชนเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน ที่มีทั้ง Local Player และ Global Player อย่าง IKEA ทำตลาดอยู่ ซึ่งเชนยักษ์ใหญ่จากสวีเดนก็กำลังโฟกัสภูมิภาคนี้เช่นกัน
- อ่านเพิ่มเติม: NITORI ร้านเฟอร์นิเจอร์ชื่อดังญี่ปุ่น เตรียมมาเปิดที่ไทย มีนาคม 2024 นี้ ตั้งเป้าขยาย 10 สาขาในกรุงเทพ
วิเคราะห์ 3 เหตุผล “niko and …” และ “NITORI” รุกตลาดไทย–อาเซียน
เหตุผลหลักที่เชื่อว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้ทั้งบริษัทแม่เปิดสาขา “niko and …” และ “NITORI” ในไทย และประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นั่นเพราะ
1. เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีศักยภาพสูง ด้วยจำนวนประชากรโดยรวมกว่า 685 ล้านคน โดยส่วนใหญ่อยู่ในวัยหนุ่มสาว และหลายประเทศยังเป็น Emerging Market จึงมีโอกาสพัฒนาและเติบโตได้อีกมาก
โดยมี 6 ประเทศเศรษฐกิจหลักของภูมิภาคนี้ (เรียงตามจำนวนประชากรมากสุดไปน้อยสุด)
– อินโดนีเซีย ประชากร 273.5 ล้านคน คาดการณ์ GDP ปี 2023 อยู่ที่ 4.9%
– ฟิลิปปินส์ ประชากร 109.5 ล้านคน คาดการณ์ GDP ปี 2023 อยู่ที่ 5.7%
– เวียดนาม ประชากร 97 ล้านคน คาดการณ์ GDP ปี 2023 อยู่ที่ 6.5%
– ไทย ประชากร 69.7 ล้านคน คาดการณ์ GDP ปี 2023 อยู่ที่ 3.9%
– มาเลเซีย ประชากร 32.3 ล้านคน คาดการณ์ GDP ปี 2023 อยู่ที่ 4.3%
– สิงคโปร์ ประชากร 5.8 ล้านคน คาดการณ์ว่า GDP ปี 2023 อยู่ที่ 2.6%
2. Urbanization ขยายตัว – ผู้บริโภคต้องการสินค้าและบริการที่ยกระดับคุณภาพชีวิตดีขึ้น
เมื่อเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เติบโต สิ่งที่ตามมาคือ ความเจริญและการพัฒนาของประเทศ ทำให้ความเป็นเมือง (Urbanization) ขยายตัว
ข้อมูล United Nations (UN) รายงานว่าสัดส่วนประชากรที่อาศัยในเมือง (Urban Population) ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ที่ 50% และคาดว่าในปี 2050 สัดส่วนจะขยับไปที่ 66% หรือคิดเป็นกว่า 526 ล้านคนอาศัยอยู่ในเมือง อย่างในประเทศไทย คาดว่าปี 2050 สัดส่วนประชากรในเมืองจะอยู่ที่ 69% หรือประมาณกว่า 45 ล้านคน แสดงให้เห็นว่าการเติบโตของเมืองจะขยายเข้าไปแทนสังคมชนบท
เมื่อสังคมเมืองขยายตัว ทำให้ผู้คนต้องการสินค้าและบริการที่เพิ่มคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ทั้งการตอบสนองในเชิง Functional Value และ Emotional Value เช่น ตลาดแฟชั่นที่กำลังเฟื่องฟูในภูมิภาคนี้ หรือแม้แต่ตลาดเฟอร์นิเจอร์ และตกแต่งบ้านอยู่ในทิศทางเติบโตตามการขยายตัวของอสังหาริมทรัพย์
3. คนไทยชื่นชอบวัฒนธรรมญี่ปุ่น – ไว้วางใจในแบรนด์ญี่ปุ่น
คนไทยมีความผูกพันและชื่นชอบกับวัฒนธรรมญี่ปุ่น จะเห็นได้จากผลสำรวจเทรนด์การท่องเที่ยวต่างประเทศของนักเดินทางชาวไทยสำหรับปี 2023 (Thailand’s Travel Intentions Study 2023 – Outbound Edition) พบว่าจุดหมายปลายทาง 5 อันดับแรกที่นักเดินทางชาวไทยปรารถนาจะไปเยือนมากที่สุดได้แก่ประเทศญี่ปุ่น ตามมาด้วยเกาหลีใต้ นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ และสหราชอาณาจักร
ประกอบกับชื่อเสียงของแบรนด์สินค้าและบริการญี่ปุ่นในด้านคุณภาพ การออกแบบ นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ที่ได้รับการยอมรับระดับโลก ทำให้ผู้บริโภคไทยเชื่อมั่น และยินดีจ่ายเงินซื้อผลิตภัณฑ์และบริการแบรนด์ญี่ปุ่น
น่าจับตามองว่า ปี 2023 – 2024 ตลาดค้าปลีกร้านจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์ แฟชั่น เฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้าน ของใช้ภายในบ้าน และของใช้ในชีวิตประจำวัน น่าจะมีสีสัน ทั้งด้านการแข่งขัน และผู้บริโภคที่มีทางเลือกช้อปมากขึ้น