ในอดีตเรามักจะรู้จักกับกิจกรรมเพื่อสังคมอย่าง CSR (Corporate Social Responsibility) หรือความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร ไม่ว่าจะเป็นการปลูกป่า การเก็บขยะหรือแม้แต่การมอบทุนการศึกษา แต่ปัจจุบันกิจกรรมเหล่านั้นถูกเน้นให้ไปที่เรื่องของสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก โดยยังคงมีกิจกรรมที่เกี่ยวกับสังคมอยู่ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นทั่วโลกและเห็นได้ชัดเจน
โดยเฉพาะสภาพอากาศที่ร้อนจัดหรือหนาวจัด ยังไม่นับกับบางพื้นที่ที่เกิดสภาพอากาศที่แทบจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้ ไม่แน่ว่าอนาคตประเทศไทยอาจมีหิมะตกก็เป็นได้ ซึ่งมีการยืนยันแล้วว่าเป็นเพราะชั้นบรรยากาศถูกทำลายโดยมลพิษและสารเคมีบางชนิด นั่นจึงทำให้หลายประเทศตั้งโต๊ะประชุมและกำหนดระยะเวลาในการลดการปล่อยมลพิษ เพื่อช่วยฟื้นฟูชั้นบรรยากาศของโลกให้กลับมาสู่ปกติ นั่นจึงทำให้เกิดเป้าหมาย Net Zero หรือการปล่อยมลพิษเป็นศูนย์
Net Zero เป้าหมายสู่การปล่อยมลพิษ 0%
Net Zero คือเป้าหมายที่หลายองค์กรมุ่งเป้าการปล่อยมลพิษหรือคาร์บอนไดออกไซค์สู่สิ่งแวดล้อมเป็นศูนย์ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมต่างๆ ในออฟฟิศ อย่างการปิดไฟเมื่อไม่ใช้ ปรับมาใช้พลังงานหมุนเวียนอย่างโซลาร์เซลล์หรือการปรับมาใช้รถยนต์ EV รวมไปถึงกิจกรรมต่างๆ ในกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เพื่อจุดมุ่งหมายในการลดอุณหภูมิโลกลงอย่างน้อย 1-2 องศาเซลเซียส
ทั้งนี้เป็นผลมาจากแนวคิด “Global Warming” ที่ชี้ให้เห็นว่า โลกกำลังเข้าสู่ยุคกลับด้านหลังจากที่โลกเคยอยู่ในยุคน้ำแข็งมาอย่างยาวนาน ซึ่งสาเหตุหลักของภาวะดังกล่าวเกิดการการพัฒนาในระบบอุตสาหกรรมที่มีการปล่อยมลพิษ โดยเฉพาะคาร์บอนไดออกไซด์หรือสารเคมีหลายชนิดขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ และมลพิษเหล่านี้มีส่วนอย่างมากในการทำลายชั้นบรรยากาศและปล่อยความร้อนของแสงอาทิตย์เข้ามาสู่โลก เปรียบเสมือนฟิล์มกันร้อนของรถยนต์เริ่มเสื่อมสภาพ
เป้าหมาย Net Zero จึงเป็นการช่วยให้กิจกรรมต่างๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้นไม่ไปทำลายชั้นบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมของโลก ช่วยให้โลกกลับมาฟื้นฟูและช่วยป้องกันความร้อนจากแสงอาทิตย์ ที่สำคัญหลายฝ่ายยังมองว่าจะ Net Zero จะช่วยให้เกิดความยั่งยืนทางเศรษฐกิจในระดับโลก
Kyoto Protocol ต้นกำเนิด Net Zero
ก่อนจะลงรายละเอียดของ Net Zero ต้องรู้ที่มาที่ไปก่อน ซึ่งจุดเริ่มต้นเกิดขึ้นในปี 1997 เมื่อกลุ่มประเทศผู้นำประชุมในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและต่อสู้กับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมีการลงนามในข้อตกลงนี้ซึ่งเรียกกันว่า “พิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol)” โดยกำหนดให้ประเทศที่เข้าร่วมต้องลดการปล่อยก๊าซเพื่อรักษาอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงขึ้นเกิน 2°C เทียบเท่าก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยมี 190 ประเทศที่เข้าร่วม (ไม่มีประเทศไทยนะจ๊ะ)
ซึ่งต่อมาก็เกิด “ข้อตกลงปารีส (Paris Agreement)” ซึ่งลงนามในปี 2015 โดยมีถึง 197 ประเทศที่เข้าร่วม (ประเทศไทยเข้าร่วมแล้วนะจ๊ะ) สำหรับประเทศไทยได้ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้ 20%–25% ภายในปี 2030 (พ.ศ. 2573) ผ่านการดำเนินการทั้งในส่วนของพลังงานและขนส่ง อุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ รวมถึงการจัดการของเสีย และตั้งเป้าการปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ภายในปี 2037 (พ.ศ. 2580) โดยได้รับความร่วมมือจากภาคธุรกิจและบุคคลทั่วไป
สำหรับ องค์การสหประชาชาติ (UN) กำหนดให้โลกลดการปล่อยก๊าซเป็นศูนย์ภายในปี 2050 ขณะที่ สหภาพยุโรป (EU) ตั้งเป้าให้ประเทศสมาชิกลดการปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ภายในปี 2050 เช่นกัน
เมื่อสิ่งแวดล้อมกลายเป็นกฎหมาย
ยิ่งเมื่อระยะเวลางวดเข้ามาเรื่อยๆ หลายประเทศก็ยิ่งเร่งให้ลดการปล่อยมลพิษโดยเฉพาะภาคธุรกิจ แต่กระบวนการลดการปล่อยมลพิษจำเป็นต้องมีการลงทุนสูงด้านเทคโนโลยี ส่งผลให้หลายธุรกิจในประเทศเหล่านั้น หลีกเลี่ยงด้วยการย้ายฐานการผลิตไปในประเทศที่มีต้นทุนต่ำ ซึ่งไม่มีกระบวนการลดการปล่อยมลพิษแล้วใช้วิธีนำสินค้ากลับเข้ามาขาย วิธีการเหล่านี้เกิดขึ้นมากมายในทวีปยุโรป
นั่นจึงทำให้เกิด CBAM (The Carbon Border Adjustment Mechanism) นโยบายเพื่อลดความได้เปรียบในการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม CBAM มีเป้าหมายที่จะยกระดับสนามแข่งขันสำหรับตลาดในยุโรป โดยใช้มาตรการด้านภาษีนำเข้ากับสินค้าที่ไม่มีกระบวนการลดการปล่อยมลพิษ ซึ่ง CBAM เป็นองค์ประกอบสำคัญของ European Green Deal มาตรการลดคาร์บอนลง 55% ในปี 2030
เมื่อย้อนกลับมาที่ประเทศไทย CBAM กำลังกลายเป็นอุปสรรคใหญ่สำหรับสินค้าไทยที่ส่งออกไปที่ยุโรป เนื่องจาก CBAM ไม่ได้กำหนดว่าเป็นสินค้าที่มาจากประเทศใด แต่วัดจากการปล่อยมลพิษในกระบวนการผลิตหรือ Carbon Footprint ของสินค้า นั่นจึงทำให้ Net Zero ในประเทศไทยนอกจากจะเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ยังช่วยให้สินค้าไทยมีโอกาสเข้าสู่ตลาดยุโรปได้ โดยไม่ถูกกำแพง CBAM กีดกัน
Carbon Credit ตัวช่วยสู่ Net Zero
ตอนนี้คงทราบกันแล้วว่า Net Zero คือเป้าหมายที่หลายองค์กรมุ่งเป้าไปสู่การปล่อยมลพิษหรือคาร์บอนไดออกไซค์สู่สิ่งแวดล้อมเป็นศูนย์ ไม่ว่าจะเป็นการปิดไฟเมื่อไม่ใช้ ปรับมาใช้พลังงานหมุนเวียนอย่างโซลาร์เซลล์หรือการปรับมาใช้รถยนต์ EV รวมไปถึงการลดปล่อยมลพิษในกระบวนการผลิต ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ แต่ในความเป็นจริงไม่สามารถลดการปล่อยมลพิษได้ทั้งหมด เช่น เป็นไปไม่ได้ที่จะให้พนักงานทุกคนตั้งแต่ C-Level ไปจนถึงเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการใช้รถสาธารณะหรือเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ EV 100%
นั่นจึงทำให้ธุรกิจขนาดใหญ่ร่วมมือกับธุรกิจขนาดเล็กในการนำเทคโนโลยีเพื่อลดการปล่อยมลพิษ สิ่งที่เกิดขึ้นคือธุรกิจขนาดเล็กสามารถติดตั้งเทคโนโลยีลดการปล่อยมลพิษได้ด้วยการลงทุนให้ของธุรกิจขนาดใหญ่ โดยปริมาณการลดที่ต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนดจะถูกนำมาเป็น “Carbon Credit” และนำมาชดเชยกับปริมาณการปล่อยมลพิษของธุรกิจขนาดใหญ่ เพื่อให้ธุรกิจขนาดใหญ่เข้าใกล้ Net Zero มากขึ้น
ซึ่งกระบวนการดังกล่าวต้องได้รับการตรวจสอบและยืนยันโดยหน่วยงานที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ซึ่งในประเทศไทยคือ องค์การบริหารก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก.
ทั้งหมดนี้คือความหมายและเหตุผลของ Net Zero ที่ทุกวันนี้ธุรกิจให้ความสำคัญและเป็นส่วนหนึ่งของแผนการสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจผ่านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการพัฒนานำการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมาเป็นหนึ่งในแผนธุรกิจเพื่อสร้างผลกำไรอย่างยั่งยืนต่อไป เรียกได้ว่าเป็นของสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง