Adidas ปวดหัว! รองเท้า Yeezy ค้างสต็อกมูลค่ากว่า 17,000 ล้านบาท หลังแยกทาง Kanye West

  • 258
  •  
  •  
  •  
  •  

เครดิตสำหรับบทความข่าว: DedMityay / Shutterstock.com

หลังจาก Adidas เป็นหนึ่งในหลายแบรนด์ดังประกาศแยกทางกับ Kanye West แรปเปอร์ชาวอเมริกันในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา หลังจากแรปเปอร์ดังสร้างวีรกรรมแสดงออกแนวคิด White Supremacy รวมถึงโพสต์ข้อความเหยียดชาวยิวไปก่อนหน้านั้น ส่งผลให้ Adidas ต้องตัดลดคาดการณ์กำไรลง 1 ใน 3 ไปก่อนหน้านี้เนื่องจากต้องถอดรองเท้า Adidas-Yeezy ลงจากชั้นวาง

อ่านบทความ ลำดับไทม์ไลน์วีรกรรม Kanye West ที่ทำให้ Adidas และอีกหลายแบรนด์ตัดสัมพันธ์ จนแรปเปอร์ดังหลุดอันดับมหาเศรษฐี

ล่าสุดดูเหมือน Adidas จะต้องปวดหัวอีกครั้งเมื่อเว็บไซต์ Financial Times รายงานว่า Adidas ต้องหาทางปล่อยรองเท้า Adidas-Yeezy ที่ค้างสต็อกอยู่มูลค่ามากถึง 530 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือกว่า 17,000 ล้านบาทออกไป โดยคาดการณ์ว่าแบรนด์กีฬาสัญชาติเยอรมันจะพยายามขายรองเท้าภายใต้แบรนด์ของตัวเองเพื่อลดความเสี่ยงที่จะขาดทุนลง

อ่านบทความ ส่งผล! Adidas ตัดลดคาดการณ์กำไรลง 1 ใน 3 หลังประกาศ แยกทาง Kanye West หยุดขาย สนีกเกอร์ Yeezy

Financial Times รายงานว่ารองเท้า Adidas-Yeezy นั้นสร้างยอดขายให้กับ Adidas มากถึง 7% ของยอดขายทั้งหมดที่คิดเป็นเงินราว 1,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว 65,200 ล้านบาท ก่อนที่ Adidas จะประกาศแยกทางกับ West ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งในเวลานั้น Adidas ระบุว่าการตัดสัมพันธ์ดังกล่าวจะส่งทำให้ผลกำไรของอดิดาสลดลง 247 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว 8,500 ล้านบาท

นอกจาก Adidas แล้วยังมีแบรนด์ยักษ์ใหญ่หลายแบรนด์ที่รวมไปถึง Balenciaga, Gap รวมถึง Footlocker ที่ประกาศเลิกขายสินค้า Yeezy ด้วยเช่นกันหลังวีรกรรมของ West ขณะที่หลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา Adidas ก็เพิ่งประกาศให้มีการสอบสวน West กรณีที่นิตยสารดนตรี Rolling Stone รายงานว่า West เคยมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับพนักงานของ Yeezy ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเปิดสื่อลามกอนาจารในห้องประชุม รวมถึงพฤติกรรมเหยียดผิวกับพนักงานหญิงผิวสีบางคนด้วย

จากนี้ก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่าดราม่า Adidas ตัดสัมพันธ์กับ Kanye West จะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน Adidas จะสามารถลดความสูญเสียจากสินค้าค้างสต็อกอย่างไร และ West จะต้องรับผิดชอบกับวีรกรรมที่ถูกกล่าวหาเพิ่มเติมอีกหรือไม่ก็คงต้องติดตามกันต่อไป

ที่มา Insider


  • 258
  •  
  •  
  •  
  •