อีลอน มัสก์ เปิดแผนใหม่ Twitter แบ่งสี Check Mark ยืนยันตัวตนเป็น สีทอง-สีเทา-สีฟ้า

หลังจาก อีลอน มัสก์ เจ้าของใหม่ Twitter ต้องยอมถอยกับการออกนโยบายชำระเงิน 8 ดอลลาร์สหรัฐเพื่อการยืนยันตัวตนสำหรับ Blue Check Mark ไปก่อนหน้านี้ เนื่องจากเกิดปัญหาบัญชีปลอมสร้างความสับสนไปเป็นจำนวนมากนั้น

คลิกอ่าน ไล่ปิดวุ่น! คนดังตัวปลอมป่วน Twitter หลัง Elon Musk ปล่อยบริการเก็บเงินค่าเครื่องหมายยืนยันตัวตน

ล่าสุด มัสก์ เตรียมที่จะกลับมาเปิดระบบยืนยันตัวตนราคา 8 ดอลลาร์สหรัฐอีกครั้ง โดยเปิดเผยผ่านทวิตเตอร์ถึงนโยบายยืนยันตัวตนแบบใหม่ คือบรรดาบัญชีของบริษัทต่างๆ บัญชีของหน่วยงานที่เป็นของภาครัฐ และบุคคลทั่วไป จะมีสีที่แตกต่างกันไป

“เครื่องหมายถูกสีทองจะเป็นของบริษัทต่างๆ, สีเทาเป็นของรัฐบาล, สีฟ้าเป็นของบุคคลทั่วไป (ไม่ว่าจะเป็นเซเลปหรือไม่ก็ตาม)” มัสก์ ระบุ

Sorry for the delay, we’re tentatively launching Verified on Friday next week.

Gold check for companies, grey check for government, blue for individuals (celebrity or not) and all verified accounts will be manually authenticated before check activates.

Painful, but necessary.

— Elon Musk (@elonmusk) November 25, 2022

รายงานระบุว่าความพยายามครั้งนี้ของมัสก์ดูจะสมเหตุสมผลเพื่อหลีกเลี่ยงจากการที่มีใครซักคนปลอมบัญชีเป็นบริษัทต่างๆและทวีตข้อความที่สร้างความสับสน อย่างที่เคยเกิดขึ้นแล้วเมื่อมีมือดีปลอมตัวเป็นบริษัท Eli Lilly บริษัทยาชื่อดังระดับโลกแล้วทวีตข้อความประกาศว่าจะแจก Insulin ฟรี จนทำให้หุ้นของบริษัท Eli Lilly ตกฮวบขณะที่ปัญหาดังกล่าวก็ส่งผลให้บรรดาผู้ลงโฆษณาต่างหยุดลงโฆษณากับ Twitter ด้วย

แน่นอนว่าระบบยืนยันตัวตนใหม่จะป้องกันเหตุการณ์ดังกล่าวได้เพราะคนทั่วไปจะไม่สามารถที่จะซื้อเครื่องหมายยืนยันตัวตนสีทองที่จะเป็นของบริษัทต่างๆได้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือระบบการยืนยันตัวตนใหม่นั้นจำเป็นที่จะต้องใช้การตรวจสอบเพื่อยืนยันตัวตนแบบ Manual ซึ่งเป็นสิ่งที่มัสก์หลีกเลี่ยงมาโดยตลอดเนื่องจากจำเป็นต้องใช้กำลังคนจำนวนมาก อย่างไรก็ตามมัสก์เองก็ยอมรับผ่านทวิตเตอร์เช่นกันว่าแม้จะเป็นเรื่องยากลำบากแต่ก็เป็นสิ่งจำเป็น

มัสก์ เปิดเผยด้วยว่าโปรแกรมยืนยันตัวตนดังกล่าว Twitter จะออกใช้จริงในวันที่ 2 ธันวาคมนี้ และว่าจะมีการเปิดเผยถึงรายละเอียดเพิ่มเติมในสัปดาห์หน้านี้ ซึ่งก็ต้องติดตามกันต่อไปว่าระบบใหม่นั้นจะสร้างปัญหาอะไรตามมาอีกหรือไม่

ที่มา Social Media Today