นักการตลาดหลาย ๆ คนในตอนนี้อาจจะต้องทำอะไรเองหลาย ๆ อย่าง หรือมาตรวจสอบงานของคนที่เกี่ยวข้อง หรือบางคนก็ทำงานเป็นเจ้าของกิจการเอง ซึ่งแน่นอนด้วยการทำธุรกิจในยุคนี้ การซื้อโฆษณานั้นเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้แบรนด์สินค้าและบริการ ได้รับความสนใจและทำให้ผู้บริโภคหาเจอเช่นกัน โดยเฉพาะ google ads ที่เป็นส่วนสำคัญในการทำให้คนที่กำลังมีปัญหา สามารถเข้ามาเจอและสร้างการตัดสินใจให้เกิดการซื้อขายอย่างทันทีขึ้นมาได้
ปัญหาสำคัญสำหรับคนที่ทำงานเกี่ยวกับ Google Ads ที่เกี่ยวข้องในรูปแบบที่เริ่มวางแผนงบประมาณโฆษณาว่าจะใช้เงินเท่าไหร่ดี หรืออยู่ในตำแหน่งที่ว่า งบประมาณที่คนอื่นวางไว้นั้นเหมาะสมหรือไม่ ในบทความนี้จะพาคุณไปช่วยคำนวนงบประมาณในการวางแผนโฆษณาว่า จะต้องใช้เงินเท่าไหร่กัน ด้วย 5 ขั้นตอนนี้
-
- วางเป้าหมายของการโฆษณา ว่า เมื่อคุณซื้อโฆษณาของ Google แล้ว คุณจะอยากได้เป้าหมายอะไร ซึ่งมีให้เลือกหลากหลายรูปแบบอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น การซื้อเพื่อ Awareness, Traffic, imp, Conversion, visits จนถึงให้ดาว์นโหลดแอพ และ Engagement ต่าง ๆ ซึ่งสุดท้ายแล้ว คนซื้ออยากจะได้ conversion แต่ใน Conversion ก็มีหลายแบบอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น ซื้อเลย, ลงทะเบียนเอาไว้, โทรมาถาม, สมัครอีเมล์ หรือเข้าถึงหน้าที่ต้องการ ดังนั้นการเข้าใจว่าเป้าหมายที่อยากจะซื้อโฆษณาและผลลัพท์ที่ต้องการหลังจากการซื้อนั้นมีสำคัญอย่างมากในการที่จะใช้เงินให้ถูกทาง
- Keyword search เมื่อเลือกเป้าหมายได้แล้ว สิ่งสำคัญอย่างมากที่จะทำให้การใช้เงินนั้นถูกต้องคือการทำ Keyword Search ขึ้นมา เพื่อหาคำหรือวลีใดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของตัวเองที่กำลังลงโฆษณา หรือมีส่วนเกี่ยวข้องในการนำเสนอสินค้าและบริการต่าง ๆ ออกมา นักการตลาดและคนที่เกี่ยวข้องควรจะคิดถึง คำที่จะทำให้คนค้นหาสินค้าของตัวเองเจอ หรือสิ่งที่คนกำลังอยากหาหรืออยากได้อยู่ออกมา หรือแม้กระทั่งการค้นหาที่ใกล้เคียงก็เจอสินค้าคุณ โดยการใช้ Google Keyword Planner tool ที่จะให้ข้อมูล keyword ต่าง ๆ ที่คนค้นหาในแต่ละเดือน และให้ข้อมูลราคาของ CPC (cost-per-click) โดยเฉลี่ยว่ามีราคาเท่าไหร่
- Spreadsheet เมื่อได้ข้อมูลคำต่าง ๆ ที่ต้องการแล้ว สิ่งต่อมาต้องมีทักษะในการใช้ Excel หรือ numbers ใน macs เล็กน้อย นั้นก็คือ เอาคำต่าง ๆ ที่ค้นหาแล้วว่าตรงกับแบรนด์สินค้าและบริการนั้น เอามาใส่ Spreadsheet ดู และเติมช่องต่าง ๆ ดังนี้ Keyword | Theme | Low Range Bid | Top Of Page Bid | Avg. Monthly Search Volume ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ใน Google Keyword Planner tool มีให้เรียบร้อยแล้ว
- เมื่อได้ข้อมูลดังกล่าว ก็เอามาคำนวนราคาที่จะซื้อ โดยราคาที่ได้ออกมานั้นจะเป็น Average CPC และ Traffic ที่จะได้ในแต่ละเดือนคร่าว ๆ โดยการเข้าสูตรหาค่าเฉลี่ยใน Excel และค่า Median ต่าง ๆ กับช่อง Low Range Bid, high range bid ออกมา ซึ่งสามารถพิมพ์สูตรดังนี้
- =AVERAGE(range:range)
- =MEDIAN(range:range)
- เมื่อได้ราคาเฉลี่ยของ CPC ของแต่ละ Keyword ออกมา หรือค่า Search Volume โดยเฉลี่ยออกมา คราวนี้ก็มาคำนวนหา Return On Ad Spend (ROAS) เพื่อที่จะไปคำนวนกลับว่า จะต้องใช้เงินในการทำโฆษณามากน้อยแค่ไหนใน Google Ads ออกมา ซึ่งตรงนี้นักการตลาดและคนที่เกี่ยวข้องสามารถใช้ข้อมูลในอดีตออกมาก็ได้ว่า เคยใช้เงินมากน้อยแค่ไหนในการได้ลูกค้าหนึ่งคนเข้ามา และข้อมูลต่าง ๆ ที่เก็บไว้ ไม่ว่าจะเป็น monthly traffic volume ที่เคยได้, Conversion rate จาก Traffic ที่ได้มา และเปลี่ยนมาเป็นลูกค้า และ average order value หรือมูลค่าการขายที่เกิดขึ้นโดยเฉลี่ยต่อการซื้อ ทั้งหมดนี้จะสามารถมาคำนวนยอดขายรายเดือนได้ ตัวอย่างเช่น
- มี Traffic เข้ามา 10,000 ครั้งโดยเฉลี่ย
- CPC ที่ 50 บาท
- 1% Conversion
- Basket size 1,500 บาท
เมื่อนำมาคำนวนจะได้ 1% conversion rate จาก 10,000 click จะได้ 100 conversion แต่ละ conversion จะได้ Basket size 1,500 บาท ทั้งหมดจะเป็น 150,000 บาท ราคาต่อ CPC 5 บาท ดังนั้น 10,000 clicks ที่ได้มาจะต้องใช้เงิน 5×10,000 ทั้งหมดเท่ากับ 50,000 บาท เมื่อนำมาคำนวน Return On Ad Spend จากสูตร Revenue ÷ Advertising Costs จะเท่ากับ 150,000/50,000 = 3 ดังนั้น ROAS ที่ลงไปทุก ๆ บาท จะได้เงิน 3 บาทกลับมา
จากสูตรได้และการคำนวนนี้ ซึ่งนักการตลาดต้องมาลองคำนวนว่าคุ้มค่ากับการลงทุนกับโฆษณาหรือไม่ และด้วยข้อมูลนี้จะเอามา Optimised ต่อได้ว่าจะทำอย่างไรให้ค่าโฆษณาลดลง และได้ผลเพิ่มขึ้น สร้าง ROAS ที่ดีขึ้นมาได้