ไม่ว่าจะทำธุรกิจอะไรปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทุกๆธุรกิจนั้นต้องทำการสื่อสารทางการตลาดกับคนไม่ว่าจะ B2B หรือ B2C หรือ DTC เองก็ตามก็มีปลายทางที่เป็นมนุษย์ในการตัดสินใจดังนั้นเพื่อที่จะสร้างให้เกิดการสื่อสารที่เหมือนคนขึ้นมาได้ธุรกิจเองก็ต้องสร้างตัวตนทางธุรกิจขึ้นหรือที่เรียกว่า Brand Personality ซึ่งเปรียบเสมือนว่าถ้าแบรนด์นั้นเป็นมนุษย์จะเป็นคนแบบไหนหรือัตลักษณ์อย่างไรน้ำเสียงแบบไหนออกมา
การสร้าง Personality ของแบรนด์ที่ดีนั้นสามารถทำให้ผู้คนที่สื่อสารกับแบรนด์สามารถเข้าถึงและปฏิสัมพันธ์แบรนด์ได้ไวกว่าเข้าใจว่าแบรนด์นี้มีคาแรคเตอร์อย่างไรสร้างมาเพื่ออะไรและกำลังจะทำอะไรซึ่งจะส่งผลให้การทำการสื่อสารทางการตลาดนั้นทำได้ง่ายอย่างมากและสร้างภาพตรงกับความคาดหวังที่ผู้บริโภคคิดไว้เมื่อมาสัมผัสกับแบรนด์โดยตรง
ดังนั้นการสร้าง Brand Personality ที่ดีต้องมาจากการวางแผนที่ดีเลยว่าแบรนด์นั้นจะมี Concept อย่างไรและจะให้คนภายนอกมองเห็นอะไรในตัวแบรนด์เข้ามาหรือมุมมองของผู้บริโภคจะมาช่วยสร้าง Brand Personality ได้อย่างไรซึ่งในบทความนี้จะมาช่วยนักการตลาดหรือคนที่กำลังจะสร้างแบรนด์ของตัวเองลองสร้างแบรนด์ด้วยการใช้ 5 องค์ประกอบนี้ออกมา
- Brand Concept คือแนวความคิดของแบรนด์ว่า แบรนด์นี้เกิดมาเพื่ออะไร กำลังจะทำให้อะไรให้กับผู้บริโภค เป็นการสร้างเหตุผลรองรับว่า ทำไมต้องมีแบรนด์นี้ขึ้นมาบนโลกด้วย ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องว่า มีฟีเจอร์ที่ดีกว่าคู่แข่ง หรือราคาถูกกว่า แต่คุณค่าที่ผู้บริโภคจะได้รับจากแบรนด์ หรือผลกระทบในการใช้แบรนด์ในเชิงบวกนั้นคืออะไรออกมา ผู้บริโภคอยากเลือกแบรนด์ที่มีมาตรฐานที่ดีต่อสังคม และรู้ว่าแบรนด์จะมีคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ต่อตัวเองขึ้นมา การมี Brand Concept ที่ดีทำให้มีมาตรฐานที่ดีต่อผู้บริโภคด้วย ซึ่งแนวคิดแบรนด์ที่ดี ควรสรุปให้ได้ 1 ประโยค เข้าใจง่าย และทรงพลัง
- เป้าหมายของแบรนด์ จากการที่แบรนด์มีแนวคิดที่น่าสนใจ แล้ว สิ่งที่แบรนด์ต้องการต่อมาในการสร้าง Brand Personality คือการที่แบรนด์นั้นจะมีเป้าหมายอย่างไร เช่นเดียวกับคน ทุก ๆ คนนั้นก็มีเป้าหมายในชีวิตที่จะเดินทางไป ยิ่งเป้าหมายของคน ๆ นั้นยิ่งใหญ่และมีผลในเชิงบวกต่อสังคมมากน้อยแค่ไหน ก็ยิ่งมีคนสนับสนุน เช่นเดียวกัน การที่แบรนด์มีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ ก็เปรียบเหมือนคนที่เป้าหมายที่อยากจะไปให้ถึง และช่วยพาสังคมไปยังจุดที่ดีขึ้น ทำให้คนนั้น ๆ จะช่วยเหลือและมาสนับสนุนแบรนด์คุณ ซึ่งการมีเป้าหมายที่ดีจะก่อให้เกิดผลที่ตามมาได้แก่ Community จะทำให้มี Community ที่พร้อมจะสนับสนุน และมีคนมากมายที่พร้อมจะเปลี่ยนตัวเองเป็นผู้จงรักภักดีต่อแบรนด์
- แรงขับของแบรนด์ จะคล้าย ๆ กับเป้าหมายของแบรนด์ แต่แรงขับนั้นจะพูดถึง เหตุผลว่าทำไมจะต้องแบรนด์นี้ และทำไมแบรนด์จะต้องมี Personality ดังนี้ออกมา สิ่งที่จะเป็นแรงขับหรือ motivation ของแบรนด์นั้น จะเป็น Passion ของแบรนด์ว่า สร้างมาเพราะอะไร หรือมีความมั่นใจในตัวแบรนด์เองมาน้อยแค่ไหนในจุดยืนของแบรนด์ที่มี
- หัวข้อการคุยสิ่งที่จะทำให้แบรนด์มี Personality ที่จะเหมือนคนได้ก็คือการที่แบรนด์นั้นมีหัวข้อและประเด็นที่จะพูดคุยกับคนหรือกลุ่มเป้าหมายของตัวเองโดยมาจะเป็นหัวข้อเดียวกับที่กลุ่มเป้าหมายนั้นกำลังสนใจหรือมีความห่วยใยในประเด็นนั้นๆการที่แบรนด์ลงไปพูดคุยในหัวเหล่านี้จะแสดงถึงความสนใจของแบรนด์ที่ตรงกับความสนใจของกลุ่มเป้าหมายและให้คุณค่าต่อเรื่องที่กลุ่มเป้าหมายสนใจซึ่งแบรนด์สามารถสร้างหัวข้อพูดคุยได้มากมายเช่นการให้ความรู้การให้แรงบันดาลใจการรวบรวมคนมาให้ทำกิจกรรมหรือสร้างสายสัมพันธ์กัน
- เรื่องราวของแบรนด์ การมีตัวตนและ Personality ที่ดี คือการมีเรื่องราวและประวัติความเป็นมาของแบรนด์ ซึ่งแบรนด์ที่ดี ที่เข้าใจอารมณ์ของมนุษย์นั้นจะสร้างแบรนด์จากเรื่องราวที่มีอารมณ์ มีภาพที่สวยงามสื่อถึงเรื่องราวต่าง ๆ ขึ้นมา สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการโน้มน้าวให้กลุ่มเป้าหมายเข้ามาอยู่กับแบรนด์ ยิ่งเรื่องราวนั้นเป็นเรื่องราวดี ๆ หรือมีผลลัพท์ที่ดี ก็ยิ่งทำให้กลุ่มเป้าหมายนั้นอยากเข้ามาร่วมปฏิสัมพันธ์ด้วยขึ้นมา
ที่นี้ในการสร้าง Brand Personality อย่างง่าย ก็คือการที่เอาทั้ง 5 ข้อนั้น มารวมกันให้กลายเป็นตัวตนและนิสัยของแบรนด์ พฤติกรรมอขงแบรนด์ขึ้นมา สร้าง Brand Personality ตรงนี้ให้เป็นแนวทางในการใช้งานร่วมกัน เพื่อทำให้การสื่อสารทางการตลาดนั้นไปในทิศทางเดียวกัน ไม่หลงทางไปเป็นตัวตนอื่นขึ้นมา