สถานการณ์โรคระบาดเรียกได้ว่า ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรง แต่ก็ส่งเสริมให้ธุรกิจ e-Commerce เติบโตขึ้นอย่างมาก ยังส่งผลให้ธุรกิจ Food Delivery เติบโตขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน สะท้อนถึงการเติบโตของธุรกิจขนส่ง โดยเฉพาะในการขนส่งรูปแบบ B2C ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นการขนส่งชิ้นเล็กๆ และการขนส่งในรูปแบบวันเดียวถึง (Same Day)
ทว่าหลังสถานการณ์เริ่มคลี่คลายลงจนเรียกได้ว่าแทบจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ LALAMOVE ผู้นำบริการรับ–ส่งสินค้าตามความต้องการ (On-Demand Delivery Service) จึงเริ่มปรับตัวสู่การขนส่งในรูปแบบ B2B พร้อมดึง “บิวกิ้น” พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์คนแรกของลาลามูฟ ประเทศไทย เจาะกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่
เตรียมรุกบริการสู่ต่างจังหวัด
หลังสถานการณ์กลับมาคลี่คลาย ลาลามูฟ (LALAMOVE) สามารถสร้างอัตราการเติบโตเฉลี่ย 5%-10% ต่อเดือน ซึ่งจากข้อมูลลูกค้าที่ใช้บริการ LALAMOVE พบการขยายรูปแบบการให้บริการจากกลุ่มผู้ใช้งานทั่วไป (B2C) ไปสู่กลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยและกลุ่มองค์กร (B2B) โดยในกลุ่ม B2B มีสัดส่วนรายได้ราว 30% ของรายได้รวม ส่งผลให้ในครึ่งแรกของปี 2565 LALAMOVE มีอัตราเติบโต 40% ตามเป้าหมายเมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
และเพื่อให้ LALAMOVE สามารถเติบโตอย่างยั่งยืน จึงเปิดตัว คุณเบน ลิน ในฐานะที่เข้ารับตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ คนล่าสุดของลาลามูฟ ประเทศไทย โดยคุณเบนชี้ว่า ในปี 2565 นี้ เราตั้งใจตอกย้ำความแข็งแกร่งของแบรนด์ในฐานะผู้บุกเบิก (Pioneer) ในธุรกิจการขนส่งตามความต้องการ (On-demand Logistics) ในไทย โดยเตรียมขยายพื้นที่ให้บริการไปยังจังหวัดภายใน 2 ปี และตั้งเป้าการเติบโตที่ 50% ต่อปี โดยเล็งรายได้ทั้งในกลุ่ม B2B และ B2C ในสัดส่วน 50%
นอกจากนี้ยังเตรียมขยายธุรกิจให้ครอบคลุมตั้งแต่กลุ่มธุรกิจ Last-Mile Logistics ไปจนถึง Mid-Mile Logistics เพื่อตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าทุกกลุ่ม ตั้งแต่กลุ่มผู้ใช้งานทั่วไป กลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย ไปจนถึงกลุ่มองค์กร โดยจะเน้นให้ความสำคัญกับการเติบโตของการขนส่งในกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน
เปิดกลยุทธ์สร้างการเติบโต
เนื่องจากสถานการณ์ที่คลี่คลายลง ทำให้หลายธุรกิจเริ่มกลับมาเปิดทำการใกล้เคียงกับภาวะปกติเดิม ส่งผลให้ความต้องการขนส่งในรูปแบบ B2B มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น LALAMOVE จึงได้ปรับกลยุทธ์เพื่อรองรับการเติบโตดังกล่าว โดยขยายชนิดยานพาหนะเพื่อให้เข้าถึงการรับส่งเพิ่มขึ้น ทั้งในส่วนของรถเก๋งแบบ 4 ประตูและแบบ 5 ประตู รวมถึงรถยนต์แบบ SUV และรถบรรทุก 4 ล้อเล็ก
ซึ่งประเภทรถยนต์ที่ขยายมานี้จะช่วยให้เพิ่มศักยภาพในการขนส่งสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และหากในอนาคตได้รับการตอบรับเป็นอย่า่งดีก็จะมีการขยายไปสู่รถบรรทุกที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อให้การขนส่งสามารถมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไปสู่กลุ่ม B2B ที่จะกลับมาขยายธุรกิจอีกครั้ง
นอกจากนี้ยังเตรียมปรับรูปแบบการให้บริการ โดยเฉพาะในเรื่องของ On-demand Logistics ที่ให้สามารถเลือกได้ว่า่ต้องการเข้าไปรับสินค้าวันไหน เวลาใด รวมไปถึงเลือกได้ว่าต้องการรถประเภทไหนในการรับสินค้า และยังสามารถกำหนดวันที่ปลายทางรับสินค้าได้อีกด้วย โดยข้อมูลการขนส่งจะแสดงผลแบบเรียลไทม์ไปที่ผู้ส่ง ขณะที่ผู้รับจะมี SMS ไปแจ้งเตือนและจะมีลิ้งค์เพื่อให้ผู้รับสามารถตรวจสอบสถานะพัสดุได้แบบเรียลไทม์เช่นกัน
ดึง “บิวกิ้น” ชูภาพผู้ประกอบการรุ่นใหม่
ไม่เพียงแค่การบุกต่างจังหวัดหรือการขยายประเภทรถเพื่อครอบคลุมทุกการขนส่งแล้ว LALAMOVE ยังเน้นจับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นธุรกิจ SME และเพื่อให้สื่อถึงการให้บริการขนส่งที่ SME เลือกใช้ จึงได้เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาและสื่อโฆษณานอกอาคาร ที่ได้เลือก “บิวกิ้น” พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล แบรนด์แอมบาสเดอร์คนแรกของ ลาลามูฟ ประเทศไทย
ด้วยภาพลักษณ์ของการเป็นผู้ประกอบการธุรกิจรุ่นใหม่ (Young Entrepreneur) ประกอบกับความแอคทีฟแบบวัยรุ่น ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ชม ทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการได้อย่างดี โดยภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้จะเผยแพร่ทางช่องทางออนไลน์ สามารถติดตามชมได้ทาง Youtube นอกจากนี้ยังมีการใช้สื่อโฆษณาภายนอกอาคารทั่วพื้นที่กรุงเทพมหานคร
จากข้อมูลลูกค้าของ LALAMOVE ในประเทศไทยพบว่า ลูกค้ากว่า 25% เป็นกลุ่มธุรกิจ SME นั่นจึงทำให้ ลาลามูฟ ประเทศไทยมุ่งมั่นที่จะเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ SME ที่เชื่อถือได้ และช่วยให้เหล่าพันธมิตร SME สามารถก้าวข้ามอุปสรรคในทุกด้านของธุรกิจ ภายใต้แคมเปญ “Make a Winning Move” จะช่วยแสดงภาพผลประโยชน์ที่ให้กับธุรกิจในทุกๆ วัน
สานความสัมพันธ์คนขับหลังสถานการณ์ดีขึ้น
นอกจากในเรื่องของการวางแผนธุรกิจและกลยุทธ์สร้างการเติบโตแล้ว การสร้างความสัมพันธ์กับผู้ขับก็ถือเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจขนส่ง แต่เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาจำเป้นต้องหยุดกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นการรวมตัวลง ซึ่งหลังจากที่สถานการณ์กลับเข้าสู่รูปแบบวิถีเดิม LALAMOVE จึงเตรียมกลับมาสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มคนขับอีกครั้งกับกิจกรรมสุดพิเศษ “Star Driver Party” ในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งคนขับที่ได้รับ Star Driver เท่านั้นที่สามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้
และเนื่องจากสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อการขนส่ง ซึ่ง LALAMOVE ไม่สามารถไปกำหนดราคาพิเศษให้ครขับได้ แต่จะมีการสอนวิธีขับและเทคนิคการขับให้กัลคนขับ เพื่อช่วยประหยัดน้ำมัน นอกจากนี้จะมีการร่วมกับพันธมิตรด้านน้ำมันในการมอบสิทธิพิเศษเพิ่มมากขึึ้นให้กับคนขับ ที่สำคัญ LALAMOVE ยังเตรียมแพ็คเกจประกันให้กับคนขับอีกด้วย
คุณเบน ลิน ยังชี้ว่า การเข้ามาเป็นคนขับให้กับทาง LALAMOVE ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็ไม่ยาก เพราะคนขับทุกคนจะต้องผ่านการทดสอบและการอบรม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแต่งกายให้เหมาะสม มารยาทและบริการในการเข้ารับและส่งสินค้า รวมไปถึงการฝึกใช้งานแอปฯ และวิธีการป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้น หากมีประวัติการทำงานที่ดีและมีการทำงานสม่ำเสมอก็มีโอกาสจะได้รับตำแหน่ง Star Driver
นั่นจึงทำให้ LALAMOVE ในปีนี้คือการเตรียมความพร้อมเพื่อสร้างฐานลูกค้า ก่อนที่ในปีหน้าจะเริ่มเห็นผลการเปลี่ยนแปลง ยิ่งไปกว่านั้น LALAMOVE กำลังจะบอกว่า ทิศทางธุรกิจขนส่งแม้ว่า Food Delivery จะยังคงเติบโตและเป็นธุรกิจที่หลายคนให้ความสนใจ แต่การขนส่งในรูปแบบ B2B ก็มีแนวโน้มเติบโตเพิ่มมากขึ้น ที่สำคัญแม้ว่า LALAMOVE จะยังไม่สนใจการขนส่งในรูปแบบโดยสาร แต่ก็ไม่ปิดกั้นถ้าในอนาคตจะมีโอกาสในการเข้าสู่รูปแบบการขนส่งผู้โดยสาร