ถ้าไม่นับกรุงเทพฯ “จังหวัดชลบุรี” นับเป็นเมืองยุทธศาสตร์สำคัญ (Strategic Location) ของเครือเซ็นทรัล สะท้อนได้จากเป็นจังหวัดที่บริษัทในเครือเซ็นทรัล ทั้ง “เซ็นทรัลพัฒนา” – “เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น” และ “กลุ่มเซ็นทรัล” เข้ามาลงทุนสร้างศูนย์การค้ามากถึง 7 โครงการ ถือว่าเป็นจังหวัดที่มีศูนย์การค้าในเครือเซ็นทรัลมากที่สุด รองจากกรุงเทพฯ ก็ว่าได้ โดยประกอบด้วย
“เซ็นทรัลพัฒนา” ปัจจุบันมี 4 โครงการศูนย์การค้า
– เซ็นทรัลมารีนา
– เซ็นทรัล พัทยา (ชื่อเดิมก่อนรีแบรนด์คือ เซ็นทรัลเฟสติวัล พัทยา บีช)
– เซ็นทรัล ชลบุรี
– เซ็นทรัล ศรีราชา
“เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น” ปัจจุบันมี 2 โครงการศูนย์การค้า
– โรบินสันไลฟ์สไตล์ ชลบุรี (อมตะนคร)
– โรบินสันไลฟ์สไตล์ บ่อวิน
“กลุ่มเซ็นทรัล” มีแผนเปิด 1 โครงการ
– วงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจ ขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้าง เตรียมเปิดเฟส 1 ช่วงเดือนธันวาคม 2565 และเฟส 2 ในปี 2566 ซึ่งจะเป็นช้อปปิ้งมอลล์แห่งแรกและแห่งเดียวในไทยที่พื้นที่โครงการติด “ชายหาด”
3 เหตุผลทำไม “ชลบุรี” ถึงเป็นเพชรเม็ดงามของ “เครือเซ็นทรัล”
เหตุผลสำคัญที่ทำให้ “เครือเซ็นทรัล” ไม่ว่าจะเป็นเซ็นทรัลพัฒนา, เซ็นทรัล รีเทล และกลุ่มเซ็นทรัล ปักหมุดสร้างโครงการศูนย์การค้าในจังหวัดชลบุรี หรือเมืองชลฯ นั่นเพราะ
1. ชลบุรี เป็นจังหวัดที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ – ติด Top 3 GPP per capita สูงสุดในไทย
เสน่ห์ของจังหวัดชลบุรีคือ เป็นเมืองที่มีความหลากหลาย และผสมผสานอย่างลงตัว ทั้งเมืองท่องเที่ยว, เมืองอุตสาหกรรม และเมืองการเกษตร จึงเป็นจังหวัดที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ และมี GPP per capita อยู่ใน Top 3 สูงสุดในประเทศไทย และภาคตะวันออก
ข้อมูลจากสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดชลบุรี และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รายงานผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) ในปี 2560 อยู่ที่ 1,030,949 ล้านบาท
ขณะที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดต่อหัว (GPP per capita) ทั้งในระดับประเทศ และระดับภูมิภาค พบว่า “ชลบุรี” อยู่ในอันดับ 3 ของจังหวัดที่มี GPP per capita สูงสุด รองจากจังหวัดระยอง (อันดับ 1) และกรุงเทพฯ (อันดับ 2)
โดยในปี 2561 ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดต่อหัว อยู่ที่ 566,801 บาทต่อคนต่อปี และในปี 2562 อยู่ที่ 571,234 บาทต่อคนต่อปี
ด้วยความที่เป็นเมืองเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ทำให้เกิดการค้าการลงทุน ทำให้ประชากรที่อยู่ในชลบุรี มีทั้งคนท้องถิ่นของจังหวัด และประชากรแฝง ซึ่งมีทั้งคนไทย และคนต่างชาติที่โยกย้ายเข้ามาทำงานน โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม รวมกว่า 1,535,445 คน
2. เป็นเมืองตากอากาศติดกรุงเทพฯ ดึงดูดนักท่องเที่ยวไทย และต่างชาติ
อีกจุดเด่นหนึ่งของเมืองชล คือ เป็นจังหวัดท่องเที่ยวชายทะเลภาคตะวันออก หรือที่คนรู้จักกันในฐานะเป็น “เมืองตากอากาศชายทะเล” ที่ใกล้กรุงเทพฯ ทำให้มีทั้งนักท่องเที่ยวไทย และนักท่องเที่ยวต่างประเทศ นิยมมาเที่ยว โดยเฉพาะหาดบางแสน และพัทยา
อย่างในช่วง COVID-19 เมื่อเริ่มคลายล็อกดาวน์พบว่า คนกรุงเทพฯ นิยมเดินทางท่องเที่ยวในจังหวัดใกล้ๆ ซึ่งชลบุรี และพัทยาคือ หนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยม เพราะใช้เวลาเดินทางไม่นาน และสามารถเที่ยวได้ทั้งแบบ one day trip หรือค้างคืน

3. ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน และการเติบโตของจังหวัด รองรับการเป็นเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ที่ครอบคลุม 3 จังหวัดคือ ฉะเชิงเทรา – ชลบุรี – ระยอง
นี่จึงทำให้ต่อไป “ชลบุรี” จะเป็นจังหวัดที่มีความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานระบบคมนาคมขนส่ง ไม่ว่าจะเป็น
– รถไฟความเร็วสูง เชื่อม 3 สนามบิน คือ สนามบินดอนเมือง – สนามบินสุวรรณภูมิ – สนามบินอู่ตะเภา
– รถไฟทางคู่เชื่อม 3 ท่าเรือ คือ ท่าเรือแหลมฉบัง – ท่าเรือสัตหีบ – ท่าเรือมาบตาพุด
– มอเตอร์เวย์ กรุงเทพฯ – พัทยา – ระยอง
สิ่งที่ตามมาจากการพัฒนาของระบบคมนาคมขนส่ง ทั้งการเดินทางด้วยรถ – ราง – เรือ คือ การเติบโตของเมือง ทั้งจำนวนประชากรย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่ในชลบุรีมากขึ้น, การเติบโตด้านการท่องเที่ยว รวมไปถึงการขยายตัวของเมืองอุตสาหกรรม
8 ไฮไลท์ “วงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจ” (Wongamat Beach Village) บีช ปาร์ค และไลฟ์สไตล์มอลล์แรกที่ติดชายหาด
ไม่เพียงแต่ “เซ็นทรัลพัฒนา” และ “เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น” ลงทุนสร้างศูนย์การค้าในเครือตัวเองเท่านั้น ทางด้าน “กลุ่มเซ็นทรัล” ซึ่งมี Business Unit การพัฒนาโครงการใหม่ ทั้งบนที่ดินเก่าของกลุ่มเซ็นทรัล และในโลเคชั่นใหม่ที่มีศักยภาพ
ปัจจุบันโครงการภายใต้การพัฒนาและการบริหารของ “กลุ่มเซ็นทรัล” มีกว่า 10 โครงการ เช่น ปอร์โต เดอ ภูเก็ต (Porto de Phuket), ตลาดจริงใจ มาร์เก็ต เชียงใหม่, หัวหมาก ทาวน์เซ็นเตอร์, มาร์เก็ตเพลส วงศ์สว่าง, ไชน่าเวิลด์ (บางลำพู), บ้านสีลม, อาคารจิวเวลรี่ เทรด เซ็นเตอร์, เซ็นทรัลสีลม ทาวเวอร์
และล่าสุดได้ประกาศลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาท สร้างโครงการไลฟ์สไตล์ มอลล์ “วงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจ” (Wongamat Beach Village) เมืองพัทยา ซึ่งเป็นที่ดินเก่าของกลุ่มเซ็นทรัล ตั้งอยู่ที่หาดวงศ์อมาตย์ ห่างจากมอเตอร์เวย์ 4 กิโลเมตร สามารถเดินทางเข้ามาได้จากทั้งซอยนาเกลือ 16 และซอยนาเกลือ 18
ตามดู 8 ไฮไลท์โครงการ “วงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจ” (Wongamat Beach Village) มีอะไรน่าสนใจบ้าง ?!?
1. พัฒนาภายใต้คอนเซ็ปต์ “Unique Natural Beach Park & Lifestyle Mall” เป็นช้อปปิ้งมอล์แห่งแรกและที่เดียวของประเทศไทยที่ติดชายหาด โดยมีหน้าหาด 90 เมตร แตกต่างจากศูนย์การค้าในเมืองท่องเที่ยวชายทะเล มีถนนกั้นระหว่างโครงการ กับชายหาด
2. วงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจ แบ่งการพัฒนาเป็น 3 เฟส คือ
เฟส 1 และ เฟส 2 พัฒนาบนที่ดินขนาด 13 ไร่
– เฟส 1 ติดชายหาด เน้นร้านอาหาร คาเฟ่ และร้านนั่งชิล เช่น ร้าน Siwilai ของกลุ่มเซ็นทรัล, คาเฟ่ % Arabica เพื่อให้ลูกค้าได้รับบรรยากาศของไลฟ์สไตล์ มอลล์ที่ติดทะเล แวดล้อมด้วยธรรมชาติ ทั้งทราย ต้นไม้ และทะเลเต็มๆ คาดว่าจะเปิดช่วงเดือนธันวาคม 2565
– เฟส 2 พัฒนาต่อเนื่องจากเฟส 1 ประกอบด้วยร้านค้าท่ีมีเอกลักษณ์ต่างๆ คาดว่าจะเปิดให้บริการในช่วงปี 2566
ขณะที่เฟส 3 มีแผนพัฒนาบนที่ดินกว่า 50 ไร่ แต่ทั้งนี้ต้องรอดูฟีดแบคในเฟส 1 – 2 และสถานการณ์ภาพรวมต่างๆ
โดยรวมทั้งโครงการ “วงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจ” แบ่งสัดส่วนเป็นร้านอาหาร, คาเฟ่–เบเกอรี่, ร้านนั่งชิล และร้านค้าที่มีเอกลักษณ์ ตอบโจทย์การช้อปปิ้ง 30%
3. การออกแบบโครงการ เน้นผสมผสานธรรมชาติเข้ากับโครงการ
ภายในโครงการจะเก็บต้นไม้เดิม ซึ่งมีขนาดใหญ่ได้มากกว่า 200 ต้น และมีพื้นที่สีเขียว 75% ของพื้นที่ทั้งหมด
ขณะที่อาคารของโครงการ ออกแบบเป็นอาคารชั้นเดียว เพื่อลดการใช้คอนกรีต หรือวัสดุสังเคราะห์ และเน้นใช้วัสดุธรรมชาติในการก่อสร้าง เช่น หญ้าแฝก, ไม้ไผ่ รวมทั้งห้อมล้อมด้วยทางเดินที่ถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่ทราย บนพื้นที่มากกว่า 10,000 ตารางเมตร สอดคล้องกับแนวคิด “แหงนหน้าเห็นท้องฟ้า ระดับสายตาเห็นต้นไม้ ก้าวเท้าเหยียบผืนทราย”
4. วงศ์อมาตย์ บีช เป็นทำเลที่มีศักยภาพสูง
เพราะอยู่ใกล้กับแหล่งท่องเที่ยวอื่นในเมืองพัทยา, ใกล้ท่ารถ, ท่าเรือ และมีสนามบินอู่ตะเภา, มีช้อปปิ้งมอลล์อื่นรายล้อม, มีคอนโดมิเนียมหรู กว่า 3,433 ยูนิต, โรงแรมระดับ 5 ดาวกว่า 1,767 ห้อง, วิลล่าและอพาร์มเมนท์หรูกว่า 100 ยูนิต ทำให้มีทั้งคนไทยและต่างชาติ ที่มีกำลังซื้อสูง
5. กลุ่มเป้าหมายโครงการวงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจ เน้นกลุ่มบน – กลาง ครอบคลุมลูกค้าคนไทย ทั้งคนในพื้นที่ และคนกรุงเทพฯ – จังหวัดอื่น 60 – 70% อีก 30 – 40% เป็นลูกค้าต่างประเทศ ทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่น รัสเซีย, เยอรมัน, จีน และชาวต่างชาติที่อยู่ในพัทยา
6. งาน Art ที่น่าสนใจในโครงการ แบ่งเป็น 3 ส่วนคือ
– Art of Design มีสถาปัตยกรรมและการออกแบบสภาพแวดล้อมที่โดดเด่น พร้อมด้วยปะติมากรรมรูปปั้นตามจุดต่างๆ
– Art of Food and Products ถูกออกแบบให้มีความพิเศษและโดดเด่น จากทางผู้เช่าแต่ละร้าน
– Art of Activities พื้นที่ถูกออกแบบให้เป็นลานกิจกรรมมุ่งเน้นการใช้ความคิดสร้างสรรค์ เช่น Play Space หรือลานกิจกรรมทั้งทางบก และทางน้ำ พร้อมหลากหลายกิจกรรมตลอดทั้งปี
7. กิจกรรมภายในโครงการ เช่น
– กิจกรรมเวิร์คช็อปงานศิลปะและงานคราฟต์ (Art & Craft Workshop)
– กิจกรรมกีฬาทางน้ำและบนชายหาด (Sport & Beach Activity)
– กิจกรรมความบันเทิง (Entertainment) เช่น DJ mixing challenge, Beach Dance Move Party, Movie on the beach
8. คาดว่าจะมีผู้ใช้บริการมากกว่า 1 ล้านคนต่อปี
อย่างไรก็ตาม “กลุ่มเซ็นทรัล” มองว่าตัวเลขยอดผู้ใช้บริการอาจจะเพิ่มมากขึ้น หากสนามบินอู่ตะเภา และรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง–สุวรรณภูมิ–อู่ตะเภา) สร้างเสร็จในช่วง 5 ปีข้างหน้าตามกำหนดการ ซึ่งจะทำให้นักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติจากทั่วโลก เข้ามาในพัทยามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการท่องเที่ยว ธุรกิจ และการลงทุน รวมถึงพนักงานและลูกจ้างที่เข้ามาทำงาน
เปิดแนวคิดการลงทุน “กลุ่มเซ็นทรัล” ต้องมีกำไร – โครงการต้องแปลกใหม่ และแตกต่าง
ปัจจุบันโครงการภายใต้การบริหารของ “กลุ่มเซ็นทรัล” มีกว่า 10 โครงการ มีรายได้กว่า 3,000 ล้านบาทต่อปี
แม้การพัฒนาโครงการใหม่ จะไม่ได้รุกลงทุนหนักเหมือนทาง “เซ็นทรัลพัฒนา” และ “เซ็นทรัลรีเทล” ก็ตาม แต่ “กลุ่มเซ็นทรัล” ยังคงเดินทางพัฒนาโครงการ ทั้งบนที่ดินเก่าของตนเอง และที่ดินใหม่ที่มีศักยภาพสูง ซึ่งความถี่การเปิดโครงการใหม่ โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 2 – 3 ปีต่อ 1 โครงการ
“นโยบายการลงทุนสร้างโครงการต่างๆ ของกลุ่มเซ็นทรัล หลักการแรกคือ ทุกโครงการต้องมีกำไร โดยกำไรในที่นี้มีสองส่วน คือ กำไร ทั้งส่วนเจ้าของคือ กลุ่มเซ็นทรัล และกำไรของร้านค้า
เพราะถ้าพัฒนาในโลเคชั่นไม่กำไร ก็คงยาก ดังนั้นเราต้องเลือกสถานที่ หรือโลเคชั่นดีๆ ไว้ก่อน โดยจะมีทั้งสร้างทั้งบนที่ดินเก่าของเราที่มีอยู่แล้ว และสร้างใหม่ ซึ่งเราจะลงทุนในจังหวัดใหญ่ ไม่ไปจังหวัดเล็ก
โดยเน้นสร้างโครงการที่มีความแปลกใหม่ และแตกต่างจากคนอื่น ทั้งแตกต่างในเชิงฐานลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นเซ็นทรัลพัฒนาเอง หรือคู่แข่งต่างๆ และแตกต่างด้านคอนเซ็ปต์ อย่างโครงการวงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจล่าสุดนี้ เพื่อให้เกิดความหลากหลาย และแปลกใหม่มากกว่าศูนย์การค้าทั่วๆ ไป” คุณพงศ์ ศกุนตนาค กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายพัฒนาธุรกิจ กลุ่มเซ็นทรัล กล่าวทิ้งท้ายถึงการพัฒนาโครงการภายใต้กลุ่มเซ็นทรัล
