ผู้บริโภคคาดหวังว่าการติดต่อสื่อสารกับแบรนด์ต่างๆ ในแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะเป็นบนเว็บไซต์ โมบายล์แอพ หรือภายในร้านค้า จะต้องได้รับการปรับแต่งให้สอดคล้องกับความต้องการ และความชอบของผู้บริโภค (Personalization) ปัจจุบันผู้บริโภคหันไปใช้ช่องทางออนไลน์ในการติดต่อสื่อสารกับแบรนด์มากขึ้น ดังนั้นประสบการณ์เฉพาะบุคคลที่สร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้บริโภคจึงต้องผ่านช่องทางที่หลากหลาย ไร้รอยต่อ และครอบคลุมทุก Touchpoints ตลอด Customer Journey ของลูกค้า
การเสนอประสบการณ์ Personalization ให้แก่ลูกค้าในช่วงเวลาที่เหมาะสมนั้น แบรนด์ต่างๆ จำเป็นต้องใช้ข้อมูลเชิงลึก รวมถึงเทคโนโลยีที่สามารถนำเอาข้อมูลเชิงลึกดังกล่าวไปใช้งานได้อย่างชาญฉลาด Adobe Target เป็นอีกหนึ่งเอนจิ้นสำหรับการปรับแต่งแบบเฉพาะบุคคล ช่วยให้แบรนด์สามารถเอนเกจกับลูกค้าได้อย่างชาญฉลาด ด้วยการนำเสนอคอนเทนต์ที่ใช่ เวลาที่ใช่ และช่องทางที่ใช่ ให้กับลูกค้า
Personalization แบบเรียลไทม์
ทุกการติดต่อสื่อสารระหว่างลูกค้ากับแบรนด์ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หรือเมื่อสองนาทีที่ผ่านมา ควรถูกใช้เป็นข้อมูลสำหรับการติดต่อสื่อสารครั้งถัดไป ตัวอย่างเช่น ถ้าลูกค้าเพิ่งซื้อตู้เย็นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หรือเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ ลูกค้าก็ไม่ควรจะได้รับชมโฆษณาตู้เย็นอีกครั้งจากผู้ค้าที่ขายตู้เย็นให้กับลูกค้ารายนี้ในระยะเวลาหนึ่ง
การทำงานร่วมกันระหว่าง Adobe Target และ Adobe Real-Time CDP ทำให้แบรนด์ต่างๆ สามารถผสานรวมข้อมูลประวัติของลูกค้าเข้ากับพฤติกรรมในปัจจุบัน เพื่อปรับแต่งประสบการณ์ไม่ว่าจะเป็นบนเว็บไซต์ โมบายล์แอพ และอื่นๆ เช่น เว็บเพจอาจรีเฟรชข้อมูลในแบบเรียลไทม์ โดยอ้างอิงจากการติดต่อสื่อสารในปัจจุบันระหว่างลูกค้ากับคอลล์เซ็นเตอร์ ข้อมูลการติดต่อของลูกค้าจะถูกเก็บรวบรวมและเชื่อมโยงกับโปรไฟล์ของลูกค้า โดยจะถูกนำไปใช้ในการแบ่งเซ็กเมนต์กลุ่มเป้าหมาย และนำเสนอคอนเทนต์แบบเฉพาะบุคคล ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในเสี้ยววินาที
กำหนดกลุ่มเป้าหมายอย่างแม่นยำด้วยการควบคุมโมเดล
“ภาพรวมของลูกค้า” นับว่ามีความสำคัญอย่างมากต่อการทำความเข้าใจเกี่ยวกับลูกค้า รวมถึงสิ่งที่ลูกค้าให้ความสนใจและบริบทที่เกี่ยวข้อง ยิ่งคุณมีข้อมูลมากเท่าไร คุณก็จะยิ่งสามารถปรับแต่งประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคลได้ดีมากขึ้นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม บางแคมเปญอาจไม่จำเป็นต้องใช้ข้อมูลภาพรวมทั้งหมดเกี่ยวกับลูกค้า ฟีเจอร์ใหม่ที่รองรับการควบคุมโมเดลภายใน Adobe Target จะช่วยให้แบรนด์ สามารถวิเคราะห์เฉพาะข้อมูลที่มีความเกี่ยวข้องมากที่สุด ตัวอย่างเช่น โรงแรมแห่งหนึ่งต้องการนำเสนอโปรโมชั่นสำหรับการท่องเที่ยวที่ไม่ไกลจากบ้านให้แก่ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ที่อยู่ภายในรัศมี 50 ไมล์ และเคยจองห้องพักหรือแสดงความสนใจที่จะเข้าพักช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ ในกรณีนี้ ข้อมูลคุณลักษณะของลูกค้าอย่างเช่น ชนิดของดีไวซ์ที่ลูกค้าใช้, สภาพอากาศ หรือการเป็นสมาชิกของโรงแรม ก็สามารถตัดออกไปเพื่อให้การทำ Personalization มีความแม่นยำมากขึ้น
Personalization บนเว็บและมือถือ
คุณอาจเคยได้รับข้อความป๊อปอัปที่มอบส่วนลด 10% สำหรับการซื้อครั้งถัดไป ในกรณีที่คุณแจ้งอีเมลแอดเดรสให้กับทางร้าน โปรโมชั่นประเภทนี้อาจมีประโยชน์ในช่วงแรกของ Customer Journey แต่หลังจากนั้นลูกค้าอาจคาดหวังว่าจะได้รับข้อเสนอที่ดีกว่า ด้วยการผสานรวมระบบจัดการการตัดสินใจภายใน Adobe Journey Optimizer เข้ากับฟีเจอร์การสร้างประสบการณ์ การกำหนดกลุ่มเป้าหมายแบบเรียลไทม์ใน Adobe Target จะช่วยให้แบรนด์ต่างๆ มอบข้อเสนอที่ดีที่สุดให้แก่ผู้บริโภคแต่ละรายบนเว็บไซต์ หรือในโมบายล์แอพแบบเรียลไทม์ และตัวสร้างประสบการณ์แบบวิชวลใน Adobe Target จะช่วยให้นักการตลาดสามารถเลือกได้อย่างง่ายดายว่าจะแสดงข้อเสนอดังกล่าวที่ใด (เช่น แบนเนอร์ด้านข้าง, แบนเนอร์บนโฮมเพจ หรือโฆษณาป๊อปอัป) หรือเพิ่มรูปแบบการนำเสนออื่นๆ นอกจากนี้ นักการตลาดยังสามารถทดสอบ และปรับแต่งการจัดวางข้อเสนอโดยใช้ฟีเจอร์ Experimentation และการกำหนดกลุ่มเป้าหมายใน Adobe Target
ตัวอย่างเช่น ลูกค้าประจำรายหนึ่งของเว็บไซต์ร้านขายเสื้อผ้าเคยเลือกดูเสื้อโค้ทแต่ไม่ได้ซื้อ ต่อมาทางร้านได้วางจำหน่ายเสื้อโค้ทรุ่นใหม่ และเมื่อลูกค้ารายนี้กลับมาดูเว็บไซต์ ทางร้านก็อาจนำเสนอส่วนลด 20% สำหรับเสื้อโค้ทรุ่นใหม่ ในแบนเนอร์บนหน้าโฮมเพจ เพื่อจูงใจให้ลูกค้าซื้อเสื้อโค้ทดังกล่าว
แม้ว่าผู้บริโภคจะมีความคาดหวังสูง แต่แบรนด์ต่างๆ ก็สามารถนำเสนอประสบการณ์ Personalized แบบไร้รอยต่อที่สอดคล้องกับสิ่งที่ผู้บริโภคคาดหวังได้ ข้อมูลรอบด้านเกี่ยวกับลูกค้าและเทคโนโลยีที่เหมาะสมจะช่วยให้แก่แบรนด์ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากกว่าที่ลูกค้าคาดหวัง
หากต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเอนจิ้นสำหรับการทำ Personalization ของอะโดบี คลิกที่นี่