Pomelo ถือว่าเป็นแบรนด์แฟชั่นที่เติบโตมาจากไซส์ start up ตั้งแต่ที่เปิดตัวในปี 2013 ผ่านมาแล้วกับเส้นทางตลอด 9 ปี ยกระดับแบรนด์ให้กลายเป็นแพลตฟอร์มแฟชั่นแบบ omnichannel ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA)
โอกาสของตลาดอคอมเมิร์ซใน SEA ถือว่ายังอยู่ในจุดฮอตสปอร์ต จากรายงานของกูเกิล เทมาเส็ก และ บริษัท เบน แอนด์ คอมพานี ที่ระบุว่า เศรษฐกิจดิจิทัลใน SEA จะขยายมูลค่าแตะที่ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2030 จากจำนวนนักช้อปกว่า 350 ล้านคน ซึ่งหมวดเสื้อผ้า, เครื่องสำอาง, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และ ของใช้ภายในบ้าน ถือว่าเป็นกลุ่มสินค้าที่เติบโตมากที่สุดจากการช้อปปิ้งออนไลน์
ทั้งนี้ คุณเดวิด โจว CEO และผู้ร่วมก่อตั้ง Pomelo fashion ได้พูดถึงจุดยืนของแบรนด์ที่ดำเนินมาตลอด 9 ปีว่า “Pomelo ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความมั่นใจและทัศคติที่ดีผู้หญิงทุกคน ผ่านผลิตภัณฑ์แฟชั่นที่มีคุณภาพ มีสไตล์ ในราคาที่เข้าถึงได้ โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ล้ำสมัย”
นอกจากนี้ยังได้พูดถึงเส้นทางการเติบโตของ Pomelo ที่ผ่านมาว่าเป็นแบรนด์ที่มีการดำเนินธุรกิจแบบ omnichannel อย่างจริงจังโดยจะเห็นจากสัดส่วนช่องทางลูกค้าที่เข้ามา ก็คือ
- อีคอมเมิร์ซ 51%
- บริการ Try.Buy 24%
- ร้านค้าออฟไลน์ 25%
เป้าหมายที่จะทำในปี 2022 & Beyond
ในงานแถลงการณ์ของ Pomelo คุณเดวิด ยังได้เปิดเผยถึง vision ที่จะทำในปีนี้และปีต่อๆ ไปของ Pomelo โดยเราจะสรุปมาให้เข้าใจง่ายๆ ว่าแบรนด์แฟชั่นคิดและจะทำอะไรต่อไปจากนี้ระยะสั้น
- วางเป้าขยายมูลค่าธุรกรรมรวมในตลาด (GMV) 260%
- เตรียมลงทุน 1,000 ล้านบาทสำหรับกลยุทธ์ใหม่ เช่น คอนเทนต์, การตลาด เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายทั้งในประเทศที่มีอยู่แล้วและตลาดต่างประเทศ
- เตรียมขยายร้านสาขาจากปัจจุบัน 27 สาขา เพิ่มเป็น 54 สาขาทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
- เตรียมเพิ่มแบรนด์ในแพลตฟอร์ม Pomelo จากกว่า 500 แบรนด์เป็น 2,000 แบรนด์
- ขยายบริการ Try.Buy. ฟีเจอร์การช้อปจากออนไลน์สู่ออฟไลน์ที่ลูกค้าเลือกซื้อสินค้าผ่านออนไลน์ แต่สามารถมาลองสินค้าจริงได้ที่ร้านสาขาใกล้บ้านก่อนซื้อ
- ยังให้ความสำคัญกับบริการ Prism ไปยังตลาดใหม่ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
- ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี 4 อย่างที่เป็นไฮไลท์ของ Pomelo เช่น เปิดกว้างเรื่องการจัดการ supply chain กับพาร์ทเนอร์แบบ seamless หรือ การจัดตั้งทีมโดยเฉพาะสำหรับ insight เพื่อลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นราคาสินค้าควรจะอยู่ที่เท่าไหร่ หรือลูกค้าควรจะซื้อสินค้ามากเท่าไหร่ เป็นต้น
ทั้งนี้ Pomelo ยังได้เปิดเผยด้วยว่า ต้องการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เอ็กซ์คลูซีฟและหลากหลายให้กับผู้บริโภค และต้องการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ผ่านศูนย์บริการ Dropship และ Seller Center นอกจากนี้แบรนด์ต่างๆ บน Pomelo platform จะสามารถใช้ประโยชน์จากฟีเจอร์ใหม่ๆ ได้ด้วยซึ่งจะเป็นการกระตุ้นยอดขายให้กับทั้ง Pomelo และแบรนด์พาร์ทเนอร์
โดยเป้าหมายที่ Pomelo จะทำต่อไปคือ ให้ความสำคัญกับศูนย์ผู้ขายแห่งใหม่ (Seller Center), การค้าปลีกที่เชื่อมถึงกัน (Connected Retail) และการทำงานแบบข้ามพรมแดนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยในอนาคตจะมีฟีเจอร์ต่างอีกมากมายเพื่อประสบการณ์ของลูกค้าที่ดีขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งนี้คุณเดวิด ได้ย้ำด้วยว่าเป้าหมายสูงสุดของ Pomelo ก็คือ การเป็นแพลตฟอร์มแฟชั่นอันดับ 1 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งดูจาก vision ทั้งหมดที่เปิดเผยวันนี้ดูแล้วไม่น่าจะไกลเกินฝัน