เดินทางมาถึง Episode ที่ 4 ตอนสุดท้ายของ งาน LIVE Marketing Oops! X META Creative Shop ซึ่ง Episode นี้หยิบเอาการสร้างสรรค์งาน Creative Ad ผ่านแพล็ตฟอร์มและฟีเจอร์ของ Facebook มาเป็นตัวอย่างและเป็นบทพิสูจน์ที่สำคัญของการนำเอา Technology มาทำสร้างสรรค์บนงาน Creative ให้กลายเป็นจริงได้ และมากไปกว่านั้นผลงานชิ้นดังกล่าว ยังได้รับรางวัลในหลายเวทีของวงการโฆษณาด้วย ไม่ว่าจะเป็น Best of the Best Campaign, Best Campaign Idea 2021, Best use of AR Effect 2021 และ Most Favorite FACEBOOK Creative Prize (best overall of FACEBOOK) จากเวที Adman Awards ปี 2020 และ 2021 รวมไปถึงเวทีอื่นๆ อีก ได้แก่ AD STARS Awards และ Campaign Brief Asia 2021
สำหรับชิ้นงานโฆษณาดังกล่าว ได้แก่ แคมเปญ Missing Person Reporters ซึ่งไวรัลมาตั้งแต่ต้นปี เป็นผลงานการสร้างสรรค์จาก BBDO Bangkok สนับสนุน มูลนิธิกระจกเงา ผ่านเทคโนโลยีล้ำสมัยได้แก่ Deep Fake ซึ่งพัฒนาโดย บริษัท คุณาณา จำกัด (KUNANA Co.,LTD) และมีแบ็คอัปคนสำคัญได้แกทีม META Creative Shop เป็นทีมคอนซัลท์ในเรื่องการใช้ฟีเจอร์และอีโคซิสเท็มต่างๆ บนแพล็ตฟอร์มเพื่อพัฒนาให้เกิดเป็นจริงตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งคีย์แมนทุกคนได้มาร่วม LIVE พูดคุยเบื้องหลังการทำงานนี้ทั้งหมด ได้แก่ คุณเบิร์ท – อนุวรรต นิติภานนท์ Chief Creative Officer, Ex-BBDO คุณพีท – พิธา อุดมกาญจนนันท์ Deputy Executive Creative Director, Ex-BBDO คุณอิงค์ – คุณัชญ์ พิพัฒนกุล Chief Technology Officer (CTO), KUNANA Co.,LTD และ คุณอาร์ต – ณปภัช กันตศิลป์ Creative Strategist META Creative Shop (SEA) – Thailand เราได้สรุปเนื้อหาใจความหลังการ LIVE ผ่านบทความนี้แล้ว
จุดเริ่มต้นของแคมเปญ กับความท้าทายที่ไกลกว่าแค่งานโฆษณา
คุณเบิร์ท เล่าถึงที่มาของแคมเปญว่า เราได้รับโอกาสจากมูลนิธิกระจกเงา โดยแคมเปญนี้คือการครบรอบ 10 ปี การหายไปของ “น้องจีจี้” โดยช่วงแรกเป็นการทำ Music Video ก่อน จากนั้นมาสปินต่อด้วย แคมเปญ Missing Person Reporters โดยได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น META และ KUNANA ที่ร่วมกันทำงานจนสำเร็จ หรือแม้แต่เหล่าคนดัง Celebrity ต่างๆ ที่ยอมบริจาคใบหน้าของตัวเองมาเพื่อประชาสัมพันธ์ตามหาคนหายให้ในแคมเปญนี้ ซึ่งจากวันนั้นที่มี “น้องจีจี้” คนเดียว พอจะทำแคมเปญก็มีคนหายเพิ่มอีกรวม 5 คนด้วยกัน ที่ทางกระจกเงาเพิ่มเข้ามาในการช่วยตามหาบุคคลทั้ง 5 คน แต่แน่นอนว่ามีคนหายมากกว่านั้น เพียงแค่บุคคลทั้ง 5 คน เป็นเหมือนนำร่องในการสร้างความตระหนักให้สังคมคำนึงถึงปัญหาบุคคลสูญหายและช่วยกันตามหาคนอื่นๆ ต่อไปด้วย นี่คือภาพรวมของ แคมเปญ Missing Person Reporters
สำหรับชาเลนจ์ของแคมเปญนี้ คุณเบิร์ท เล่าว่า นอกเหนือจากการตามหาบุคคลสูญหาย ก็คือการช่วยเยียวยาจิตใจของครอบครัวผู้สูญหายด้วย เราต้องการเป็นกำลังใจว่ายังมีมีคนซัพพอร์ตเขามาตลอด 10 ปี ดังนั้น เรื่องของงานครีเอทีฟจึงเป็นรวมไปถึงเรื่องราวทางจิตใจด้วย เพราะสิ่งที่เราทำมันไม่ใช่แค่งาน แต่มันเป็นการช่วยเหลือ เข้าใจคนในครอบครัวของน้อง และก็ต้องขอขอบคุณทางครอบครัวด้วย ที่อนุญาตให้นำเรื่องราวมาทำแคมเปญนี้ได้ ถือเป็นชาเลนจ์มากๆ เพราะเราต้องคิดและทำออกมาในหลายๆ แง่มุม
“ตอนแรกที่รับบรีฟเรื่องการครบรอบ 10 ปี “น้องจีจี้” หายตัว ก็ไม่น่าเชื่อว่าเป็นเวลา 10 ปีแล้ว เพราะรู้สึกว่ามันนานมาก และติดตามเรื่องราวการหายตัวของ “น้องจีจี้” มาตลอด เพราะว่ามูลนิธิกระจกเงากับ BBDO เราทำงานกันมานาน พอรู้ว่าตอนนี้ครบ 10 ปีแล้วก็รู้สึกว่ามันนานมากเลย ระยะเวลาที่นานขึ้นเรื่อยๆ ก็รู้ว่าโอกาสที่จะตามหาตัวให้พบนั้นมันก็ยากมากขึ้นเช่นกัน แต่เนื่องจากโอกาสครบรอบ 10 ปี เราก็น่าจะทำอะไรที่เป็นการช่วยตามหา 10 ปีมีครั้ง”
จากไอเดียในหัวสู่การสร้างจริงให้เป็นรูปธรรม: Creativity + Technology
ด้าน คุณพีท ทีมงาน BBDO อีกท่านที่ร่วมแคมเปญนี้ตั้งแต่เดย์วัน ได้กล่าวถึงที่มาของการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในแคมเปญนี้ว่า แคมเปญทั้งหมด มันเกิดจาก pain point ที่ว่า การประกาศหาคนหายในปัจจุบัน มันยังไม่มีประสิทธิภาพประสิทธิผลเท่าไหร่ ยังคงใช้วิธีเดิมๆ ในการตามหาคน ตั้งแต่สมัยก่อนแล้วว่าใครหายก็เอาภาพนิ่งของคนๆ นั้นมาประกาศตามหา อาจจะประกาศตามหาตามสื่อ Out of Home หรือบนโซเชียลมีเดียก็ตามที ดังนั้น ในทีมของเราก็เลยคุยกันว่า มันน่าจะมีวิธีอื่นที่เอฟเฟ็คทีฟกว่านี้ ครีเอทอิมแพคได้มากกว่านี้เพื่อทำให้คนสนใจ ทำให้คนจำหน้าของคนที่หายได้มากกกว่านี้ เราก็เลยมีการใช้เทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาช่วยมีทั้ง AR AI รวมไปถึงมีเดียต่างๆ ทั้ง Instagram Poll, Facebook Story ดังนั้น คอร์ไอเดียทั้งหมดก็คือ เราอยากทำให้การประกาศหาคนหายมันเอฟเฟ็คทีฟมากขึ้น ซึ่งถ้าทำได้มันก็จะมีโอกาสในการค้นหาแล้วได้พบตัวมากขึ้นด้วย
“เราพยายามหาอะไรใหม่ๆ มาเดเวลลอปวิธีเดิมๆ ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เพราะเราเห็นแล้วว่าเทคโนโลยีมันมีส่วนช่วยให้สิ่งต่างๆ มันดีขึ้น ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะจับใช้มันอย่างไร โดยทาง BBDO ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์กับทาง META อยู่แล้ว ได้มาพูดคุยกันว่าทาง META มีทูลส์อะไร หรือมีเทคโนโลยีอะไรบ้างที่จะช่วยทำให้ วิธีการประกาศหาคนหาย มันเอฟเฟ็คทีฟขึ้นได้ไหม”
คุณเบิร์ท กล่าวเสริมในจุดนี้ว่า ในไอเดียที่ว่าจะทำให้การหาคนหายมันอิมแพ็คมากขึ้นเอฟเฟ็คทีฟมากขึ้นกว่าที่เราทำกันอยู่ ก็เลยเป็นไอเดียที่ว่า จะเป็นไปได้ไหม ที่เราจะทำให้บุคลลที่หายแต่ละคนขึ้นมาประกาศตามหาตัวของเขาเอง จากแค่ประโยคสั้นๆ ตรงนี้ก็สร้างความสนใจแล้ว แต่จะเมคอิทแฮพเพ่นยังไง ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่รู้ว่าเราจะต้องมาถึงขั้นการใช้ Deep Fake แต่ก็พยามยามคิดว่าจะใช้วิธีอะไรได้บ้าง ซึ่งตอนนั้นก็ไม่มีวิธีไหนเลย ต้องมาจบที่ Deep Fake อย่างเดียว ก็เลยเป็นที่มาที่ KUNANA เท่านั้นที่ทำได้
ความร่วมมือจาก META รวมพลังทั้งไอเดียและการใช้อีโคซิสเท็ม ผลักดันให้แคมเปญเป็นจริง
คุณอาร์ต กล่าวถึงการที่ META ในฐานะบริษัทผู้ดูแลแพล็ตฟอร์มโซเชียลมีเดียระดับโกลบอลอย่าง Facebook รวมถึงฟีเจอร์และเทคโนโลยีอื่นๆ ภายใต้อีโคซิสเท็มของ META เล่าว่า ทีม META ปกติแล้วเรามีแผนกที่ดูแลให้กับองค์กรไม่แสวหาผลกำไรหรือมูลนิธิโดยตรงอยู่ ซึ่งมูลนิธิกระจกเงาก็เป็นหนึ่งองค์กรที่เราดูแล เมื่อได้รับการติดต่อเราก็คอยให้คำปรึกษา ประสานงาน และแนะนำอีโคซิสเท็มต่างๆ ที่ MATA มีให้กับทีมงานตลอด รวมไปถึงการประสานงานกับเอเจนซี่ต่างๆ ซึ่งทาง BBDO มีไอเดียตั้งต้นมาก่อนแล้ว นั่นคือการทำ Missing Person Reporters ซึ่งตอนนั้นก็คิกออฟด้วย MV ก่อน โดยตัว MV เป็นเรื่องของ touchpoint บนแพล็ตฟอร์ม ซึ่งเราเข้าไปช่วยในส่วนของหลังบ้าน ทำให้คนเห็น MV ได้มากขึ้น โดยมีการลงใน Facebook Watch ด้วย โดยรีซัลท์ที่ออกมาก็ได้รับการตอบรับที่ดีมีคอมพลีทวิว 90% เลย
จากนั้น ก็มาต่อยอดด้วยแคมเปญ Missing Person Reporters ซึ่งเราได้ระดมสมองทีมงานของ META มาช่วยกันมากมาย เพราะมีความตั้งใจที่จะช่วยกันตามหาจริงๆ และไม่อยากให้ไปถึงปีที่ 11 เลย ดังนั้ เราก็มาช่วยเติมไอเดียต่างๆ ลงไปด้วย เช่น ไอเดียของการแจ้ง Location ทำเป็น Poll Ad ที่เรายิงไปตาม Location แล้วเราเก็บดาต้าเบสได้ ว่า Location ตรงนี้ แถวนี้ มีคนเห็นน้องจีจี้มากน้อยแค่ไหน ก็คือมีการช่วยเหลือตั้งแต่ตอนนั้น และเมื่อมี KUNANA มาทำ Deep Fake ก็มีระยะเพิ่มเติมต่อว่าในแพล็ตฟอร์ม Facebook เรามี AR ที่ซัพพอร์ตได้อยู่แล้ว แต่ว่ามันมีข้อจำกัดอยู่ว่า ช่วงนั้นเราไม่อนุญาตให้ใช้หน้าคนจริงมาเป็น AR Effect ซึ่งอันนี้ก็เป็นข้อจำกัดที่ทางทีมของเราก็ได้ประสานงานคุยกับทางส่วนกลางที่ทำเรื่อง AR Effect และสุดท้ายก็อนุญาตให้เราทำได้ เพราะว่าเราบอกว่ามันเป็น Non-profit Campaign และเป็นแคมเปญที่ช่วยตามหาคนหายจริงๆ ที่เราทำกันมานานมากแล้ว ไม่ใช่แค่ปีนี้ ก็เกิดการประสานงานกันระหว่าง Facebook Spark AR ที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้นมา ดังนั้น หลักๆ คืออยู่เป็นคอนซัลท์เป็นฝ่าย วางแผนหลังบ้าน เพื่อให้แคมเปญออกมาดีที่สุด
“AR Filter จริงๆ แล้ว มันคือฟิลเตอร์ในแพล็ตฟอร์ม Facebook และ Instagram เวลาเราเปิดกล้องขึ้นมาแล้วส่องหน้าเรามันก็จะมีเอฟเฟ็กต์บนหน้า แต่ไอเดียของเราคือ เราโดเนทหน้าเพื่อให้เป็นบุคคลที่หายไปแล้วมาตามหาตัวเอง ซึ่งจุดนี้เราสามารถทำได้เลย คือเทคโนโลยี Spark AR เป็นลิขสิทธิ์ของ META อยู่แล้ว ที่ใช้ AI ในการเขียนหน้าขึ้นมาได้ หลักการคล้ายกับทาง KUNANA ที่ต้องใช้ภาพ แต่เผอิญว่าเรามีเทคโนโลยีนี้อยู่แล้ว ซึ่งจริงๆ ของเราทำได้นานแล้วแต่ที่ผ่านมาเราไม่อนุญาตให้ทำ แต่เฉพาะโปรเจ็คต์นี้เราเลยไปยื่นเรื่องขออนุญาต โดยที่ เป็นโปรเจ็คต์แรกที่อนุญาตให้ทำได้เพราะเป็นโปรเจ็คต์ที่ดี และยิ่งเสริมด้วยการที่เราบอกว่าทำงานร่วมกับโลเคอลที่เป็นเทคคอมพานี ซึ่งก็คือ KUNANA เขาก็อยากที่จะสนับสนุนเทคคอมพานีโลคอลอยู่แล้ว ก็เป็นเรื่องราวที่เหมาะเจาะลงตัวพอดี ที่ทำให้เขาตัดสินใจเปิดให้ทำได้”
เมื่อถามว่าหลังจากลอนช์แคมเปญออกไป รวมไปถึงใช้เทคโนโลยีฟีเจอร์ต่างๆ ในการแจ้งเบาแสผลลัพธ์เป็นเช่นไร คุณอาร์ต กล่าวว่า ได้รับการตอบรับที่ดีมาก มีคนส่งเข้ามาเบาะแสเข้ามาเยอะแยะมากมาย เป็นหลักหมื่นเลย แต่เพียงแค่ว่าเราไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นเขาเท่านั้นเอง ทั้งนี้พบว่าหลังบ้านเของเรามี Click to rate สูงถึงง 80,000-90,000 เลยทีเดียว แต่แม้ว่าสุดท้ายเราก็ยังไม่ได้เจอตัวน้อง แต่ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สามารถร่วมกันรายงานการพบเห็นหรือมีเบาะแสแล้วแจ้งกันมาผ่าน Messenger ได้ สะท้อนว่า Messenger ไม่ใช่แค่แอปแชทเท่านั้น มันยังสามารถทำอย่างอื่นได้ด้วย
บทพิสูจน์ Creative ผนึก Technology ยกระดับงานโฆษณาสุดอิมแพค
คุณอาร์ท ได้กล่าวถึงเหตุผลในการพิจารณามอบรางวัล Best of the Best Campaign, Best Campaign Idea 2021, Best use of AR Effect 2021 และ Most Favorite FACEBOOK Creative Prize ให้กับแคมเปญ Missing Person Reporters ว่า จากการที่เราได้ติดตามมาหลายๆ แคมเปญรวมทั้งเป็นที่ปรึกษาให้กับทีมต่างๆ ซึ่งเราได้ให้ความสำคัญกับทุกแคมเปญเท่ากันหมด แต่สำหรับผลงานชิ้นนี้เรามองว่านอกจากจะเป็นงานที่ช่วยเหลือทางสังคมแล้ว ที่สำคัญคือ มีการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ซัพพอร์ตเพื่อช่วยให้งานมันเกิดประสิทธิภาพมากขึ้น และเป็นครั้งแรกที่มีการใช้เทคโนโลยี Deep Fake ในงานโฆษณาเพื่อช่วยเหลือสังคม ไม่ใช่ไปใช้ในทางอาชญากรรม แต่โปรเจ็คต์นี้เราเอามาใช้ในเชิงของการช่วยเหลือในสังคมที่ดีงาม คิดว่าสิ่งนี้ มันคือการเปลี่ยนพฤติกรรม ที่เราสื่อกับสังคมได้ว่า สิ่งที่คนมองว่าไม่ดีก็นำมาทำเป็นสิ่งที่ดีได้ และบนแพล็ตฟอร์มเราก็ซัพพอร์ตด้วย AR Filter ได้
คุณพีท กล่าวเสริมว่า สืบเนื่องจากเทคโนโลยี Deep Fake มันถูกใช้ในทางที่ไม่ดี ทั้งในวงการ porn หรือทำให้เกิด Fake News ต่างๆ แต่สำหรับแคมเปญนี้มันคือ แคมเปญแรกเลยที่เอาเทคโนโลยีนี้มาเทิร์นให้เป็น Positive ได้ เป็นประโยชน์ต่อสังคม ในการตามหาคนหายให้มันมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น น่าจะเป็นจุดทวิสต์ที่ทำให้แคมเปญนี้มันน่าสนใจมากขึ้น
ในขณะที่ คุณเบิร์ท เสริมในประเด็นที่ว่า จุดที่น่าสนใจอีกมุมก็คือวิธีการส่งสารออกไป ไม่น่าเชื่อว่า เราจะทำให้คนที่หายตัวไปแล้ว เขากลับมาสื่อสารกับเราได้ คิดว่าสิ่งนี้ทำให้มันอิมแพ็คคิดว่าสิ่งนี้เป็นจุดที่ช่วยเพิ่มวาลูให้กับชิ้นงาน แล้วช่วยทำให้คนจำขึ้นได้ง่ายด้วย มันช่วยทำให้ผู้คจดจำคนหายได้ง่ายขึ้น ง่ายกว่าการที่เราเห็นภาหรือโปสเตอร์มากกว่าอีก แล้วพอบอกว่า Deep Fake เราก็คิดว่าเป็นเทคโนโลยีที่มันสำเร็จรูปมาเลยเอามาทำแล้วออปติไมซ์ต่อ แต่พอเอาเข้าจริงๆ แล้ว KUNANA เขาต้องมาทำอีกหลายสิ่งเพิ่มเติม เพื่อทำให้หน้าของคนหายไปอยู่บนหน้าของคนอื่นได้มันยากมาก และอีกชาเลนจ์คือ ปกติแล้วเทคโนโลยี Deep Fake จะต้องมีวัตถุดิบของหน้าคนนั้นเยอะๆ ยิ่งเยอะยิ่งดี เป็นหมื่นเป็นแสนภาพเลยยิ่งดี เพื่อทำให้ Deep Learning หรืออัลกอริทึ่มของ Deep Fake มันสามารถเรียนรู้ที่จะสร้างหน้าคนนั้นได้ แต่สำหรับโปรเจ็คต์นี้ของเรา สำหรับ คนหายจะไม่ค่อยมีรูปของเขามากเท่าไหร่ มีรูปค่อนข้างจำกัด มีแค่รูปสองรูป ถ้าเป็นวิดีโอยิ่งไม่มีเลย ดังนั้น จะทำอย่างไรให้รูปไม่กี่รูป สามารถเกิดขึ้นบน Deep Fake เพราะมีแค่เทคโนโลยีนี้เท่านั้นที่จะทำให้ไอเดียของเราเป็นจริงได้
โจทย์ยาก ท้าทายเทคโนโลยีและไอเดียของผู้สร้างสรรค์
มาถึงตรงนี้ก็คงต้องเป็นบทบาทของทาง KARUNA ที่จะปั้นไอเดียในอากาศของทีม BBDO ให้เป็นจริง ซึ่ง คุณอิงค์ ที่รับไม้ต่อกล่าวถึงการสร้างงานผ่านเทคโนโลยี Deep Fake ว่า สำหรับเทคโนโลยี Deep Fake ตัวอัลกอริทึ่มที่ใช้ในการสลับหน้า ซึ่งต้องบอกว่าเทคโนโลยีตัวนี้ค่อนข้างที่จะเนียนกว่าเทคโนโลยีอื่นๆ ดังนั้นก็เลยมีเงื่อนไขในการทำมากกว่า คือต้องใช้ข้อมูลเยอะ และต้องมีการแก้ปัญหาตลอด เราก็ต้องค่อยๆ แก้ทีละข้อ เช่น ข้อจำกัดเรื่องภาพ ที่เรามีภาพเดียว เราก็ต้องพยายาม fine tune ออกมาให้ได้ เนื่องจากเทคโนโลยีนี้มันใหม่มาก เราอาจต้องเอาเทคโนโลยีนี้ ลองตัวนี้เพื่อไปต่อกับเทคโนโลยีตัวอื่น เพื่อให้ผลลัพธ์มันออกมาได้ตามที่ต้องการ เพราะมีเพียงแค่รูปๆ เดียว แล้วคุณภาพของรูปก็ไม่ได้สูงมากนักด้วย และที่สำคัญเราเน้นว่าต้องการให้เกิดการอิมแพ็ค ดังนั้น เราจึงเน้นว่ามันต้องสมจริงมากๆ ให้เหมือนกับ Deep Fake ทั่วๆ ไปที่เขาทำกัน คือเห็นแล้วว้าวเลย ไม่ใช่เหมือนกับโรบ็อท ถือว่เป็น Used Case ที่ค่อนข้างโหดทีเดียว
สำหรับโปรเจ็คต์นี้ เราใช้เวลาประมาณ 9 เดือน ในการทำให้เสร็จ เพราะอย่างที่บอกด้วยโจทย์ที่เราต้องการอิมแพ็คให้มันเนียนแต่วัตถุดิบที่เรามีมีจำกัด ดังนั้น ก็ใช้เวลาที่ค่อนข้างนานทีเดียว เพราะมันก็ขึ้นอยู่กับการพัฒนาเทคโนโลยีในแต่ละปี “พูดตามตรงผมคิดว่ามันน่าจะทำได้ออกมาดีกว่านี้ แต่ด้วยเทคโนโลยี ณ ปัจจุบัน ผมก็คิดว่าก็ค่อนข้างน่าพอใจ และเมื่อลอนช์ออกไปแล้ว ก็ได้ผลลัพธ์ที่ดีเลย”
คุณเบิร์ท กล่าวเสริมว่า เทคโนโลยี Deep Fake มันทำได้แต่หน้า ไม่สามารถทำตรงผมได้ เพราะฉะนั้น การที่เราจะไป synced กับใบหน้าของ KOL เราไม่สามารถเปลี่ยนทรงผมของ KOL ไม่ได้ด้วย สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดคือ มีใบหน้าคนหายคนไหนไหมที่พอจะคลับคล้ายคลับคลากับ KOL คนนั้นมากที่สุด เพื่อทำให้การ Deep Fake ลงไปบนหน้าของเขาดูเนียนที่สุด เป็นที่มาที่เรามีบุคคลหายอยู่ 5 คน แล้ว KOL ก็มีมากมาย โดยเมื่อเราได้รับบริจาคใบหน้าจาก KOL แล้วเราก็จะมาช่วยกันดูว่า ท่านไหนเหมาะกับใบหน้าของบุคคลที่หายมากที่สุด เพราะฉะนั้น KOL แต่ละคนเราจะทำได้ไม่กี่หน้าเท่านั้น
ผลตอบรับเกินคาด กับการยกระดับวงการโฆษณาไทยให้ก้าวอีกขั้น
นอกเหนือจากอิมแพคของตัวแคมเปญที่ได้ทั้งรางวัลและการตอบรับจากสังคมแล้ว ยังถือว่าเป็นแคมเปญที่เป็นบทพิสูจน์สำคัญว่าเมื่อ Creativity ทำงานร่วมกับ Technology สร้างงานที่พลิกโฉมวงการโฆษณาได้เลย คุณเบิร์ท กล่าวว่า สำหรับโปรเจ็คต์นี้ เป็น Social Goods ซึ่งก็มีหลายมุมมองที่เราจะมองได้ โดยแคมเปญนี้เป็นแคมเปญที่เราใช้เทคโนโลยีที่ค่อนข้างเข้มข้นเลย ถ้าไม่มีเทคโนโลยีไอเดียนี้ก็ไม่เกิดขึ้น หรือแม้แต่ว่าถึงเรามีไอเดียนี้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว แต่มันยังไม่มีเทคโนโลยีที่มาตอบสนอง ไอเดียนี้ก็ทำไม่ได้ ดังนั้น มันก็ชี้ให้เห็นว่าถึงเรื่องเวลาที่เหมาะสม Timing และการซัพพอร์ตของทุกๆ ฝ่าย ทั้งฝั่งเทคโนโลยีและฝั่งแพล็ตฟอร์ม ที่จะทำให้ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้ อันนี้เป็นมุมมองของการ Collaboration ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วมันได้ มันเป็นสปริงบอร์ดให้คอนเทนต์หนึ่งได้อย่างมหาศาล
เช่นเดียวกับ คุณพีท ที่บอกว่า มันสะท้อนวงการโฆษณาได้ ถึงแง่มุมของการนำเทคโนโลยีมาสร้างสรรค์วิธี ในอนาคตโฆษณามันจะไม่เหมือนโฆษณาเข้าไปเรื่อยๆ มันอาจจะกลายเป็นโซลูชั่นที่ใช้เทคโนโลยีมาช่วย หรือมันก็จะเป็นรูปแบบ Entertainment ไปเลย คือมันก็จะไม่ใช่โฆษณาแบบที่เราเห็นๆ กันแล้ว ซึ่งผมคิดว่าเทคโนโลยีมีส่วนสำคัญที่จะเข้ามา ทำให้มันเป็นทิศทางนั้นในอนาคต
คุณอิงค์ ให้แง่มุมที่น่าสนใจว่า ถ้าเราเอาเทคโนโลยีมาช่วย ผู้บริโภคก็จะสามารถมีส่วนร่วมหรือ Interact กับแคมเปญได้ดีขึ้น ได้มากขึ้น ทำให้เขามีส่วนร่วมก็อาจจะทำให้เขาสนใจได้มากขึ้นได้
ส่วนคุณอาร์ต กล่าวว่า มันเหมือนเราอันล็อค คือสำหรับประเทศไทย มันจะทำให้เราไม่ได้เป็นผู้ตามในแง่ของงานครีเอทีฟอีกต่อไปแล้ว อาจจะทำให้เราเป็นผู้ริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ในชิ้นงานโฆษณาระดับโลกเลยก็ได้ การใช้เทคโนโลยีในแง่ครีเอทีฟเวิร์ค เพราะว่าในแง่โฆษณาประเทศไทย เราอยู่ในระดับเวิร์ลคลาส งานโฆษณาของเราได้ทั้งกรังปรีด์ ได้โกลด์จากคานส์มาแล้วมากมาย เป็นการตอกย้ำว่างานโฆษณาของเราไม่ใช่แคโฆษณาแล้ว เราก้าวข้ามความเป็นโฆษณาไปแล้วในจุดนี้ได้เลย วันนี้เทคโนโลยีที่เราใช้ซึ่งไม่ได้ใหม่อะไรมาก แต่ใช้ความเป็นไทยเอามาปรับใช้ให้เหมาะกับวัฒนธรรมของเรา ซึ่งผลว่ามันสามารถสเกลได้ไปทั่วโลกเลยด้วยซ้ำ อันนี้แหละที่สำคัญเราน่าจะเป็นผู้ริเริ่มได้ด้วยซ้ำ
เทรนด์โฆษณาในอนาคต จะพลิกโฉมวงการไปมากแค่ไหน
นอกจากพลังระหว่าง Creativity และ Technology มุมมองของเทรนด์โฆษณาในปีหน้า แต่ละท่านก็แสดงความเห็นได้อย่างน่าสนใจ คุณพีท กล่าวว่า อันที่จริงตอนนี้ก็มีเทรนด์อะไรใหม่ๆ เยอะมากเลย อย่างทาง META ก็มี Metaverse แล้ว ก็คิดว่า Metaverse มันจะเปลี่ยนวิธีการทำคอนเทนต์ เปลี่ยนวิธีการทำโฆษณาไปเลย ซึ่งมันก็จะมีวิธีใหม่ๆ มีโซลูชั่นใหม่ๆ อยู่ในนั้นมากขึ้น มีพวก Cryptocurrency NFT คิดว่าตอนนี้มันน่าสนใจและน่าสนุกมากเลย เพราะว่ามันมีอะไรให้เล่นใหม่ๆ เยอะขึ้น ซึ่งถ้าเป็นครีเอทีฟก็ควรจะตื่นเต้นกับสิ่งเหล่านี้
ขณะที่คุณเบิร์ท กล่าวว่า ส่วนตัวอาจจะไม่ได้มองเทรนด์อะไรขนาดนั้น คือมองไปที่ไอเดียและงานมากกว่า แต่ถ้าจะให้พูดก็คือว่า เทรนด์มันมักจะมาตามสื่อต่างๆ ที่มีอะไรใหม่ๆ เข้ามา เช่นอย่าง Facebook ก็เปลี่ยนแปลงบริษัทเป็น META และก็สร้างโลกที่เป็น Metaverse ออกมา ซึ่งมันก็จะช่วยปลดล็อกความสามารถต่างๆ ที่เราบอกว่าทุกอย่างถูกทำมาหมด การที่เพิ่งสเปซต่างๆ มันก็จะมาช่วยเพิ่มในสิ่งที่ยังไม่ถูกทำขึ้น ทำให้เราทำอะไรใหม่ๆ ได้ ดังนั้น ถ้าถามว่ามันจะมีเทรนด์อะไรเกิดขึ้น ก็ต้องดูว่ามันมีอะไร Immerse ขึ้นมาบ้าง ในสื่อและในสเปซใหม่ๆ
ด้านคุณอิงค์ กล่าวว่า ก็คล้ายกับที่หลายท่านบอกคือ มีทั้ง Metaverse มีทั้ง AI ซึ่งจริงๆ ตอนนี้ครีเอทีฟเล่นกับอะไรได้เยอะเลย เพียงแต่ต้องดูว่ามีอะไร มีเทคโนโลยีอะไรที่รองรับแล้ว ซึ่งคิดว่าจริงๆ แล้วมันอาจจะมีเทคโนโลยีนั้นรองรับอยู่แล้วก็ได้ เพียงแค่ต้องหาคนทำให้เป็น เพราะว่าตอนนี้เทคโนโลยีมันค่อนข้างแอดวานซ์มากแล้ว
ส่วนคุณอาร์ต ผู้ใกล้ชิด META ตัวจริงกล่าวให้เห็นภาพลึกขึ้นไปอีกว่า จริงๆ เหมือนยุคหนึ่งเรามี flash คนก็ไปเรียนรู้เขียนกันจนเป็น เสร็จแล้วก็มี html5 คนก็ไปเรียนรู้กัน เช่นเดียวกับ META เราก็พยายามผลักดันให้นักพัฒนาไปศึกษา ตรงนี้แหละคงมีหลายคนไปศึกษาแล้ว ซึ่งคิดว่าใช่เลยอย่างที่คุณพีทบอก คือถ้าใครดู The MATRIX หรือหนังเรื่อง Ready Player 1 มันก็อาจจะเป็นอย่างนั้น ดังนั้นที่ META จะมีอะไรเพิ่มอีกบ้างก็ให้ศึกษากันไว้ก็ดี
ในตอนท้ายของการ LIVE ทอล์ค คุณอาร์ต ได้ฝากสิ่งหนึ่งไว้กับทั้งแบรนด์และวงการครีเอทีฟว่า ในฐานแพล็ตฟอร์ม คิดว่าในอนาคตอยากเห็นการผนึกกำลังกันลักษณะนี้ ทั้งในส่วนลูกค้า ครีเอทีฟ นักพัฒนา และแพล็ตฟอร์มร่วมกันสร้างสรรค์งาน เพราะคนไทยมีฝีมือระดับโลก สร้างสรรค์งานครีเอทีฟได้รางวัลมากมาย เพียงแต่อยากขอโอกาสให้ได้ทำงาน อยากให้แบรนด์หรือลูกค้าเปิดกว้างและเปิดโอกาสให้มากๆ และเรามาร่วมกันทำงานที่สร้างสรรค์อย่างนี้ ดังเช่นงานของ Missing Person Reporters ก็เป็นการพรูฟให้เห็นว่าเรื่องการไอเดียครีเอทฟีมาร่วมกับใช้เทคโนโลยีมันอิมแพ็คและไปได้ไกลมากแค่ไหน สิ่งนี้คือสิ่งสำคัญและอยากฝากคนในวงการทุกคนร่วมด้วยช่วยกัน