เมื่อไม่นานมานี้ Facebook เพิ่งประกาศรับสมัครพนักงานเพิ่มอีก 10,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เกี่ยวกับ Metaverse หรือ แนวคิดที่เกินจริง ล้ำกว่าปัจจุบันไปมาก หลายๆ คนนิยามไว้ว่าเป็นอนาคตของอินเทอร์เน็ต โดยจะใช้เทคโนโลยี VR (Virtual Reality) และ AR (Augmented Reality) เป็นส่วนประกอบหลัก
ก่อนหน้านี้คนทั้งโลกต่างก็ติดตามกันว่า การรีแบรนด์ของ Facebook จะมีการเปลี่ยนชื่อไปเป็นอะไร ซึ่งมีกระแสในโลกออนไลน์พูดถึงอยู่บ่อยๆ ว่าชื่อใหม่ของ Facebook น่าจะเป็น “Bookface” กับ “Booky McBookface” แต่ก็คาดเดาเป็นแนวขำๆ แซวกันซะมากกว่า
อ่านเพิ่มเติมที่นี่ |
จับตา Facebook วางแผนรีแบรนด์บริษัทด้วยชื่อใหม่! ให้สอดรับกับการก้าวสู่โลก Metaverse |
แต่ก็มีชื่อๆ หนึ่งโผล่ขึ้นมาบนทวิตเตอร์ ซึ่งเป็นคาดการณ์ของ Samidh Chakrabarti เขาเคยทำงานในตำแหน่ง Chief of civic integrity ของ facebook โดยได้โพสต์ไว้ว่า “ชื่อใหม่ของ Facebook อาจจะชื่อ “Meta” ก็ได้” แม้แต่รายงานของ Bloomberg ก็คาดการณ์ว่า คนทั้งโลกน่าจะต้องเข้า Meta.com แทน Facebook.com
จนล่าสุดในงานใหญ่ประจำปี Connect 2021 ที่เพิ่งผ่านไปหมาดๆ เมื่อคืน เจ้าพ่อแห่ง Facebook ‘มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก’ ได้ประกาศเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ (vision) ต่อจากนี้ของ Facebook ว่าจะมุ่งหน้าสู่โลกแห่งความเสมือนจริงมากขึ้น ซึ่งก็คือ Metaverse เรียกได้ว่างานแถลงครั้งล่าสุดนี้เป็นงานแห่ง Metaverse เลยก็ว่าได้ โดยมาร์ก ได้พูดทิ้งท้ายก่อนจบงานเกี่ยวกับการรีแบรนด์ครั้งใหม่ขององค์กร ว่าจะใช้ชื่อเรียกบริษัทว่า ‘Meta’ แทนชื่อเดิมคือ ‘Facebook’
ทำไมต้อง Meta ? อย่างที่เกริ่นไปว่า มาร์ก ต้องการมุ่งสู่ความเป็น Metaverse อย่างเต็มตัว ขณะที่แอปพลิเคชั่น Facebook ที่เป็นสื่อสังคมออนไลน์ ก็จะไม่ใช่แค่โปรดักซ์หลักอย่างเคยอีกต่อไป เพราะมาร์ก พูดไว้ชัดเจนว่า “จากนี้ไปเราจะมุ่งสู่ Metaverse-first ไม่ใช่ Facebook-first”
สำหรับคำว่า Meta ในความหมายของ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก เขาได้ตีความหมายมาจากภาษากรีก ซึ่งแปลว่า Beyond (เหนือกว่า) โดยเป็นการรีแบรนด์ครั้งใหญ่เปลี่ยนภาพลักษณ์บริษัทที่เป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ให้กลายเป็นบริษัทเทคโนโลยี + Metaverse เต็มตัว
สรุปง่ายๆ ก็คือ นอกจากที่มีแพลตฟอร์ม Facebook แบบเดิมๆ จากนี้เราจะเห็นบริษัท Meta ที่มีทั้งแพลตฟอร์ม อุปกรณ์เทคโนโลยีล้ำสมัย และบริการใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ในยุคของ Metaverse อย่างเช่น แว่น AR, Oculus (อุปกรณ์ VR) รวมทั้งบริการต่างๆ ที่เป็น VR และ AR ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงกำลังพัฒนา เดาว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าเราน่าจะได้เห็นโปรดักซ์ใหม่ถูกปล่อยออกมาให้ชมกันแน่ๆ
CEO ของ Meta (Facebook) พูดว่า “ในทศวรรษที่ผ่านมา เทคโนโลยีได้ให้พลังแก่ผู้คนในการเชื่อมต่อและแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น จากโทรศัพท์ที่สามารถโทรได้อย่างเดียว ก็เป็นมีกล้อง Video call ได้ จุดประสงค์เพื่อการเชื่อมต่ออย่างเห็นได้ชัด แม้แต่อุปกรณ์การทำงานก็เปลี่ยนจาก desktop สู่เว็บไซต์ และก็เปลี่ยนสู่ สมาร์ทโฟนอีกครั้ง, จากข้อความ สู่รูปภาพ และเปลี่ยนสู่วิดีโอ แต่นี่ก็ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของวิวัฒนาการของเทคโนโลยี”
มาร์กได้พูดยกตัวอย่างว่า “ฟังก์ชั่นการโทรจะถูกพันาให้เร็วขึ้น และวิดีโอก็จะกลายเป็น main way สำหรับทุกคนบนโลกนี้ สำหรับ Meta เชื่อว่าจะกลายเป็น Interface ใหม่ในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนในโลกดิจิทัล Metaverse คือ next chapter ที่ผู้คนจะใช้ในการท่องโลกออนไลน์, เล่นเกม, ดูภาพยนตร์, เรียน, ทำงาน, ออกกำลังกาย ฯลฯ”
Meta (Facebook) กำลังเสกให้ฉากในหนัง Sci-fi กลายเป็นจริง
หากใครยังงงๆ ว่า Metaverse มันจะเกิดขึ้นอย่างไร หรือจะมีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง ลองจินตาการดูว่าเรากำลังดูหนัง Sci-Fi ที่เป็นโลกแห่งอนาคตอยู่ หลายฉากที่ล้ำหน้าเกินจินตนาการ อย่างเช่น นาฬิกาล่องหนที่กดเพื่อพูดคุยกับเพื่อนปลายสายได้กลางอากาศ, การสไลด์หน้าจอบนอากาศเพื่อเปลี่ยนลุคตัวอวตารของเรา หรือจะเป็น การเล่นปิงปอง, เล่นหมากรุก ซึ่งเป็นกีฬาเก่าแก่ที่เล่นแบบทันสมัยผ่าน Metaverse ได้ง่ายๆ
มาร์ก ได้พูดว่า “แพลตฟอร์มในโลกอนาคต(อันใกล้) จะมีความสมจริงมากขึ้น การใช้อินเทอร์เน็ตต่อจากนี้จะทำให้เราสัมผัสได้ ไม่ใช่แค่ดูหรือได้ยินเสียงเท่านั้น นี่คือข้อดีของ Metaverse เราจะสัมผัสสิ่งของต่างๆ ได้จริง (3D Object) ผมมองว่า Metaverse มันคือความสมจริง ความรู้สึกที่ธรรมชาติเหมือนว่าเราอยู่กับคนนั้นต่อหน้า”
“ในอนาคตคุณจะสามารถเทเลพอร์ต (teleport) เป็นโฮโลแกรมได้ทันทีเพื่อไปอยู่ที่ออฟฟิศ หรือคอนเสิร์ตโดยที่เราไม่ต้องเดินทาง ผมเชื่อว่า remote working จะยังอยู่กับเราไปอีกนานแม้ว่าสถานการณ์จะดีขึ้น อย่างที่เราจะเปิดตัวไปเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา สำหรับ Horizon Workroom สถานที่ทำงานเสมือนจริงด้วยเทคโนโลยี VR ผ่านแว่น Oculus Quest 2 เพื่อใช้งานฟีเจอร์ได้สมจริง เช่น โต๊ะทำงานเสมือนจริง, หน้าจอ Desktop, Hand tracking บนคีย์บอร์ด”
“สำหรับ Horizon Home จะเป็นสเต็ปขั้นตอนไปของ Meta ซึ่งเราสามารถออกแบบบ้านของเราเองได้ตามที่เราต้องการ ไม่ว่าจะอยู่ในอวกาศ, ทะเลสวยๆ สักที่ หรือสถานที่ที่เหนือจินตนาการก็ได้ รวมทั้ง Horizon Worlds ที่เป็นพื้นที่สำหรับทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนๆ จะเล่นเกม หรือสังสรรค์ก็ได้หมด นอกจากนี้มีแพลนจะเปิดตัว Horizon marketplace ทาง Messenger เพื่อให้ทุกคนสามารถซื้อขายสินค้าได้สมจริงมากขึ้น”
“สำหรับผม Metaverse มีความหมายต่อผู้คนอย่างมาก เพราะเราจะสามารถใช้เวลากับสิ่งที่เรารักได้มากขึ้น โดยไม่ต้องกังวลเรื่องรถติด เดินทางเหนื่อย หรือกลัวว่าจะมีส่วนปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์”
“ผมอยากให้ลองนึกดูเล่นๆ ว่า ณ วันนี้หากสิ่งของที่เราจับต้องอยู่ในแต่ละวัน ไม่ว่าจะทีวี, เกมกระดาน, ปิงปอง ฯลฯ ถ้าวันหนึ่งเราจับต้องพวกมันเป็นโฮโลแกรม 3D ที่สัมผัสและรู้สึกได้จริง มันจะน่าตื่นเต้นมากแค่ไหน และแน่นอนว่าโฮโลแกรมเหล่านี้จะกลายเป็นเครื่องมือของเหล่าครีเอเตอร์, ผู้ประกอบการ, developer ได้ในอนาคต”
ทั้งนี้ เท่าที่เราอ่านมาถึงตรงนี้ huge plan ของ Meta มันคงต้องใช้เงินพัฒนาและศึกษาต่ออย่างมหาศาล เพราะหากพวกเขาจะทำให้ Metaverse เป็นจริงได้นั้นต้องมีการวิจัยอีกหลายส่วน เช่น เทคโนโลยีในการแสดงผล, การติดตามสีหน้าท่าทาง, การสร้าง Human Computer Interface, การประมวลผลแบบ real time, เทคโนโลยี AI รูปแบบใหม่, Hardware ที่เหมาะสม และส่วนประกอบย่อยอื่น ซึ่งภายในงานได้เปิดเผยว่า ในส่วนของการพัฒนาโปรแกรมบางอย่างเพื่อเสิร์ฟกับผู้สร้าง AR และ VR ของ Meta ได้ใช้งบไปประมาณ 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
สำหรับประเด็นนเรื่องความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัว CEO มาร์ก เองได้พูดว่า Meta จะนำบทเรียนที่ได้รับที่ผ่านมาไปร่วมออกแบบให้ผลิตภัณฑ์ใหม่ดีขึ้น ปลอดภัยขึ้น ซึ่งในทุกๆ การพัฒนาและศึกษาเกี่ยวกับ Metaverse ได้ให้ความสำคัญกับ 2 เรื่องนี้เป็นหลักตั้งแต่วันแรกที่เริ่มต้น Metaverse
นอกจากนี้ มาร์ก ได้พูดย้ำว่า “บทบาทใหม่ใน journey ครั้งนี้ คือ การเร่งพัฒนาเทคโนโลยีพื้นฐาน, แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย และเครื่องมือสร้างสรรค์ เพื่อทำให้ Metaverse มีชีวิตขึ้น และต้องผสานกับเทคโนโลยีต่างๆ ผ่านแอปฯ Facebook ได้ รวมทั้งบริการอื่นๆ ที่จะเปิดตัวในอนาคต”
“การเดินทางครั้งใหม่ของ Meta ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี หรือเทคนิคต่างๆ แต่หมายถึงการสร้างบริการที่ชีวิตที่ดีขึ้น สร้างรายได้จากบริการที่ดีขึ้น รวมไปถึงโครงการ crypto และ NFT ก็จะเข้ามามีบทบาทด้วยเช่นกัน”
ดูจากมูฟเมนต์นี้ของ Meta หรือ Facebook แน่นอนว่าการแข่งขันนั้นต้องรุนแรงขึ้นอีกแน่ๆ ไม่ใช่แค่สำหรับธุรกิจแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย แต่ต้องคิดรวมทั้งหมดไปจนถึงธุรกิจที่ผลิตอุปกรณ์เทคโนโลยีด้วย เพราะหากวันหนึ่งอุปกรณ์ในนาม Meta สำหรับโลก Metaverse ถูกปล่อยเข้ามาในตลาด หลายๆ วงการธุรกิจน่าจะสะเทือนอยู่เหมือนกัน ในฐานะที่ Facebook เป็นหนึ่งในโซเชียลมีเดียที่คนใช้มากที่สุดในประวัติศาสตร์โลก
ไม่ว่าธุรกิจไหนที่สามารถตอบโจทย์ DNA ของผู้บริโภคได้ดี อย่างที่ Meta ทำในเรื่องของการสื่อสาร การปฏิสัมพันธ์ของคน ถือว่าเป็นบริษัทแรกๆ ที่มุ่งหน้าสู่ Metaverse อย่างเต็มตัวเพื่อ DNA นี้โดยเฉพาะเพื่อทุบกำแพงการสื่อสารที่มีข้อจำกัดในปัจจุบัน
ข้อมูลโดยงานประชุม Connect 2021