เปิดตัวไปแล้วกับงานใหญ่ระดับโลกของ Apple ที่เรียกว่ายิ่งใหญ่ แม้ว่าจะยังคงอยู่ในสถานการณ์โรคระบาด โดยครั้งนี้ Apple ขนทัพผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีระดับไฮเอนต์ที่แม้แต่คนที่ไม่ใช่สาวก Apple ยังต้องติดตาม ไม่ว่าจะเป็น iPad ที่มาพร้อมกับ CPU ใหม่ที่แรงและเร็วขึ้นกว่าเดิม Apple Watch ที่กันน้ำกันฝุ่นแถมยังคงดีไซน์ที่ทันสมัย และพระเอกสุดของงานอย่าง iPhone 13 ที่เปิดตัวออกมาถึง 4 รุ่น พร้อมกล้องเทพระดับถ่ายทำภาพยนตร์และหน่วยความจำที่ให้มากสุดถึง 1 เทราไบต์ (1TB = 1,000GB)
Apple Watch Series 7 ดีไซน์ใหม่ ฟังก์ชั่นเพียบ
เริ่มที่ผลิตภัณฑ์ขนาดเล็กแต่จัดเต็มด้วยเทคโนโลยีอย่าง Apple Watch® Series 7 ที่มาพร้อมจอภาพ Retina ช่วยให้สว่างมากขึ้น 70% ลดขอบให้แคบลงอย่างเห็นได้ชัด สามารถขยายจอภาพออกไปถึง 20% และการออกแบบมุมที่โค้งมนกว่าเดิม นอกจากนี้ยังมีหน้าปัดนาฬิกาอีกสองแบบที่ไม่ซ้ำใคร ทั้ง Contour และ Modular Duo นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาหน้าจอให้มีความแข็งเพิ่มมากขึ้นทนการแตกร้าวได้ดีกว่าเดิม และยังเป็น Apple Watch รุ่นแรกที่ผ่านการรับรองความทนฝุ่นที่ระดับ IP6X โดยยังคงกันนน้ำไว้ที่ระดับ WR502
มาพร้อมกับคีย์บอร์ด QWERTY ใหม่ที่สามารถแตะหรือปัดด้วย QuickPath™ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลื่อนนิ้วเพื่อพิมพ์ โดยระบบในอุปกรณ์จะคาดการณ์คำถัดไปที่น่าจะเป็น ซึ่งทำให้การป้อนข้อความง่ายขึ้นและเร็วขึ้นด้วย และยังมี watchOS 8 ที่ทำให้ชื่อเมนูและปุ่มต่างๆ มีขนาดใหญ่ขึ้นสามารถโต้ตอบบนหน้าจอได้ง่ายขึ้น พร้อมด้วยแบตเตอรี่ที่สามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 18 ชั่วโมง พร้อมระบบการชาร์จที่เร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 33% และสายชาร์จเร็วแบบแม่เหล็กเป็น USB-C5
ด้วยฟังก์ชั่นของแอปฯ ต่างๆ ช่วยให้ Apple Watch กลายเป็นเครื่องมือที่สะดวกยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะนั่งสมาธิ หรือเข้าออกสถานที่ต่างๆ พร้อมช่วยให้ผู้ใช้เชื่อมต่อกับคนที่รักได้ง่ายกว่าเดิม และที่ขาดไม่ได้กับฟังก์ชั่นการออกกำลังกายที่ Apple Watch จะใช้อัลกอริทึมขั้นสูงในการวิเคราะห์ข้อมูลจาก GPS, อัตราการเต้นของหัวใจ, อุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหวและ Gyroscope พร้อมด้วยการแจ้งเตือนการออกกำลังกายอัตโนมัติอื่นๆ โดยเฉพาะการตรวจจับการล้มบน Apple Watch ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นเครื่องมือด้านความปลอดภัยที่ทรงคุณค่านับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2018 โดยคุณสมบัตินี้จะรับรู้ได้เมื่อผู้ใช้ไม่เคลื่อนไหวเป็นเวลาประมาณหนึ่งนาทีหลังตรวจพบการล้มอย่างรุนแรง และสามารถเริ่มโทรติดต่อบริการฉุกเฉินได้โดยตรงจากข้อมือ
โดยอัลกอริทึมสามารถตรวจจับการล้มและปรับให้เหมาะสำหรับการตรวจจับการล้มในระหว่างการออกกำลังกายประเภทต่างๆ และยังรับรู้ถึงท่าทางเฉพาะและแรงกระแทกจากการล้มระหว่างปั่นจักรยานและการออกกำลังกายประเภทอื่นๆ ด้วย โดย Apple Watch Series 7 มาพร้อมตัวเรือนอะลูมิเนียมใน 5 สีใหม่ ได้แก่ สีมิดไนท์ สีสตาร์ไลท์ สีเขียว สีน้ำเงินใหม่ และรุ่น (PRODUCT)RED พร้อมด้วยสายนาฬิกา Apple Watch ในโทนสีใหม่ๆ ที่เข้ากันได้กับ Apple Watch ทุกรุ่น
เปิดตัวฟีเจอร์ Fitness+
Apple ประกาศเปิดตัว Apple Fitness+ บริการด้านฟิตเนสที่สร้างขึ้นโดยอิงกับ Apple Watch® โดยบริการได้นำการออกกำลังกายแบบในสตูดิโอและการฝึกสมาธิมายัง iPhone, iPad และ Apple TV ทั้งการฝึกสมาธิสามารถที่ช่วยให้ลดความเครียดที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน พัฒนาความรู้เท่าทันตัวเอง และสร้างความแข็งแกร่งในการเผชิญอุปสรรคในชีวิต คุณสมบัตินี้พัฒนาต่อยอดมาจาก Mindful Cooldowns อันโด่งดังในแอป Fitness+ โดยจะมีวิดีโอที่น่าสนใจให้รับชมพร้อมคำแนะนำจากผู้ฝึกสอนของ Fitness+ การฝึกฝนแต่ละครั้งจะใช้เวลา 5, 10 หรือ 20 นาที
การออกกำลังกายแบบพิลาทิสที่เป็นการออกกำลังกายแบบแรงกระแทกต่ำ ทำให้ผู้ใช้มีตัวเลือกในการรักษาและเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความยืดหยุ่นมากขึ้น การออกกำลังกายด้วยพิลาทิสบน Fitness+ ส่วนใหญ่สามารถทำได้โดยใช้แค่แผ่นรองออกกำลังกาย ส่วนบางรายอาจใช้ยางยืดออกกำลังกายร่วมด้วย การออกกำลังกายด้วยพิลาทิสทุกแบบจะมีความยาว 10, 20 และ 30 นาที สำหรับผู้เริ่มต้น (Workouts for Beginners) Fitness+ จะสอนหลักการพื้นฐานที่สำคัญในการมีคุณภาพชีวิตที่สุขภาพดีซึ่งมากกว่าแค่การออกกำลังเพียงครั้งเดียวให้กับผู้ใช้
การออกกำลังกายกับเพื่อนๆ และครอบครัวเป็นวิธีที่ดีในการมีแรงบันดาลใจและความรับผิดชอบในการรักษาร่างกายให้ฟิตอยู่เสมอ ภายในปลายปีนี้ การออกกำลังกายแบบกลุ่มที่สนับสนุนโดย SharePlay จะพร้อมให้ใช้งานบน Fitness+ และจะรองรับการออกกำลังกายได้สูงสุด 32 คน ผู้ใช้จะสามารถโทร FaceTime® บน iPhone, iPad และ Apple TV ด้วย AirPlay® โดยผู้ใช้จะเห็นเมตริกและความคืบหน้า พร้อมๆ กับเห็นและได้ยินเสียงเพื่อนระหว่างออกกำลังกายด้วย
iPad กับชิปใหม่ที่ทำงานได้เร็วขึ้น
งานนี้ Apple ยังเปิดตัว iPad รุ่นที่ 9 ที่มาพร้อมชิป A13 Bionic ที่ให้ประสิทธิภาพและความสามารถที่เหนือกว่า iPad ร่นก่อนๆ โดยยังคงมอบอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานตลอดวัน พร้อมจอภาพ Retina ขนาด 10.2 นิ้ว และกล้องหน้าอัลตร้าไวด์ ความละเอียด 12MP พร้อมคุณสมบัติ Center Stage รองรับ Apple Pencil และ Smart Keyboard และระบบปฏิบัติการ iPadOS® 15 ที่ใช้งานง่าย และความจุที่มากกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 2 เท่า
โดยชิป A13 Bionic Apple ชี้ว่า มีประสิทธิภาพสูงขึ้นกว่ารุ่นก่อนถึง 20% เร็วกว่า Chromebook รุ่นที่ขายดีที่สุดถึง 3 เท่า และเร็วกว่าแท็บเล็ต Android ถึง 6 เท่า สำหรับกล้องหน้าจะเป็นแบบ Ultra Wide ที่ให้ความละเอียดสูงถึง 12MP และ Neural Engine ที่ช่วยให้เพลิดเพลินกับวิดีโอคอล ขณะที่ผู้ใช้ขยับตัวไปมากล้องจะแพนตามการเคลื่อนไหวโดยอัตโนมัติเพื่อให้ผู้ใช้อยู่ในสายตาเสมอ ซึ่งเป็นคุณสมบัติพิเศษของ Center Stage และถ้ามีคนอื่นมาร่วมด้วยกล้องก็สามารถตรวจจับได้
iPad มาพร้อมกับดีไซน์ที่บางและเบา โดยเริ่มต้นที่ความจุ 64GB มากกว่ารุ่นก่อนถึง 2 เท่า และยังมีตัวเลือก 256GB โดย iPad รุ่น Wi-Fi จะเปิดให้สั่งซื้อในราคาเริ่มต้น 11,400 บาท และรุ่น Wi-Fi + Cellular ในราคาเริ่มต้นที่ 16,400 บาท กับสีเงินและสีเทาสเปซเกรย์
iPad mini เล็กกะทัดรัดแต่ทรงประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ Apple ยังเผยโฉม iPad mini ใหม่ ที่มาพร้อมจอภาพ Liquid Retina ขนาด 8.3 นิ้วที่ใหญ่ขึ้น และชิป A15 Bionic ใหม่ล่าสุดที่มอบประสิทธิภาพการทำงานที่เร็วกว่ารุ่นก่อนถึง 80% โดยมาพร้อมกับพอร์ต USB-C ใหม่ที่สามารถเชื่อมต่อได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และในรุ่น Cellular ที่รองรับ 5G รวมถึงรองรับ Apple Pencil รุ่นที่ 2 ช่วยเปิดประตูสู่วิธีการใหม่ๆ สำหรับผู้ใช้ในการบันทึกภาพและวิดีโอ สื่อสารกับคนสำคัญ และจดไอเดียต่างๆ ที่แล่นเข้ามาในหัว
โดย iPad mini ใหม่ มาพร้อมกับ 4 สีสันทั้งสีชมพู สีสตาร์ไลท์ สีม่วง และสีเทาสเปซเกรย์ ด้วยหน้าจอของ iPad mini ที่มีขนาด 8.3 นิ้ว จึงมีการออกแบบให้ Touch ID ไปรวมเป็นส่วนหนึ่งในปุ่มด้านบนช่วยให้สะดวกในการใช้งานและการยืนยันตัวตนที่ปลอดภัยสำหรับใช้ในการปลดล็อค iPad mini, ล็อกอินเข้าสู่แอปหรือใช้งาน Apple Pay นอกจากนี้ iPad mini ยังรองรับ Apple Pencil รุ่นที่ 2 ซึ่งการติดตั้งแม่เหล็กที่ด้านช้างช่วยยึดติดกับ iPad mini พร้อมทั้งระบบชาร์จแบบไร้สายและการจับคู่
อีกหนึ่งจุดเด่นอย่างชิป A15 Bionic ด้วย CPU แบบ 6-core ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพที่สูงขึ้นถึง 40% และ GPU แบบ 5-core ที่ให้ประสิทธิภาพกราฟิกเพิ่มชั้นนถึง 80% เมื่อเทียบกับ iPad mini รุ่นก่อนหน้า รองรับเทคโนโลยี 5G ช่วยให้การเชื่อมต่อไร้สายรวดเร็วยิ่งขึ้นด้วยความเร็วสูงสุดถึง 3.5Gbps iPad mini ยังมาพร้อมพอร์ต USB-C ที่สามารถถ่ายโอนข้อมูลได้สูงสุด 5Gbps ซึ่งเร็วกว่าในรุ่นก่อนหน้าถึง 10 เท่าและระบบ iPadOS 15 ที่ช่วยให้ทำงานได้เร็วขึ้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น
iPad mini รุ่น Wi-Fi จะเปิดให้สั่งซื้อในราคาเริ่มต้น 17,900 บาท และรุ่น Wi-Fi + Cellular เริ่มต้นที่ 23,400 บาท โดย iPad mini ใหม่ มาด้วยกันถึง 2 รุ่นทั้งความจุ 64GB และ 256GB มาในสีชมพู สีสตาร์ไลท์ สีม่วง และสีเทาสเปซเกรย์ ขณะที่ Apple Pencil รุ่นที่ 2 ที่สามารถใช้งานร่วมกับ iPad mini มีวางจำหน่ายแยกต่างหากในราคา 4,490 บาท
iPhone 13 และ iPhone 13 mini กล้องระดับมหาเทพ
แล้วก็มาถึงคิวพระรอง เมื่อ Apple เปิดตัว iPhone 13 และ iPhone 13 mini มาพร้อมนวัตกรรมด้านกล้องที่และชิปอันทรงพลัง โดยมาพร้อมกับดีไซน์ขอบแบนที่เพรียวบางกับ 5 สีสันใหม่ โดยทั้งสองรุ่นมาพร้อมนวัตกรรมกล้องคู่ที่ล้ำสมัยที่สุดเท่าที่เคยมีมาบน iPhone ซึ่งมีกล้องไวด์ใหม่พร้อมพิกเซลที่ใหญ่ขึ้นและระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัล (OIS) ที่ใช้การปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์ เพื่อการถ่ายภาพและวิดีโอในสภาวะแสงน้อยที่ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ iPhone 13 และ iPhone 13 mini ยังมีชิป A15 Bionic ที่เร็วสุดขั้วและประหยัดพลังงานเป็นเยี่ยม, แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานขึ้น, จอภาพ Super Retina XDR ที่สว่างขึ้นเพื่อคอนเทนต์ที่มีชีวิตชีวา, ด้านหน้าแบบ Ceramic Shield ที่แข็งแกร่งทนทาน, พื้นที่จัดเก็บข้อมูลเพิ่มขึ้นสองเท่าเป็น 128GB สำหรับรุ่นเริ่มต้น, ความสามารถในการทนน้ำที่ระดับ IP68 ชั้นแนวหน้าของอุตสาหกรรมและประสบการณ์ 5G สุดล้ำ
นอกจากนี้ชิป A15 Bionic ยังช่วยลดการใช้พลังงาน ช่วยให้ใช้งานได้ยาวนานขึ้น iPhone 13 และ iPhone 13 mini จะวางจำหน่ายในสีชมพู, น้ำเงิน, มิดไนท์, สตาร์ไลท์ และรุ่น (PRODUCT)RED ในรุ่นความจุเริ่มต้นใหม่ที่ 128GB ทำให้มีพื้นที่จัดเก็บข้อมูลเพิ่มขึ้นสองเท่า และมีรุ่นความจุ 256GB และ 512GB ด้วย โดยสามารถซื้อ iPhone 13 ในราคา 2,990 บาทต่อเดือนเป็นระยะเวลา 10 เดือน หรือ 29,900 บาท ก่อนการแลกซื้อ และ iPhone 13 mini ในราคา 2,590 บาทต่อเดือนเป็นระยะเวลา 10 เดือน หรือ 25,900 บาท ก่อนการแลกซื้อที่ ที่ apple.com/th/store, ในแอป Apple Store และที่ร้าน Apple Store10
ทุกความลงตัวรวมอยู่ใน iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max
แล้วก็มาถึงพระเอกของงานนี้กับ iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ที่มาพร้อมกับระบบกล้องระดับโปรที่ล้ำสมัยที่สุดเท่าที่เคยมีมาบน iPhone, จอภาพ Super Retina XDR พร้อมชิปที่เร็วที่สุดในสมาร์ทโฟนอย่าง A15 Bionic และประสบการณ์ 5G สุดล้ำ โดยทั้งสองรุ่นได้รับการออกแบบใหม่ตั้งแต่ภายในจรดภายนอก อีกทั้งยังมีระบบ Center Stage ช่วยให้การถ่ายภาพและวิดีโอมืออาชีพมากขึ้น และเป็นครั้งแรกที่รองรับ ProRes ด้วย ซึ่งมีเฉพาะบน iPhone เท่านั้น
iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max จะมีจำหน่ายใน 4 สีสันสวยงาม ได้แก่ สีกราไฟต์, ทอง, เงิน และเซียร์ร่าบลูใหม่ พร้อมด้วยความจุขนาดใหม่ใหญ่อลังการขนาด 1TB (1 เทราไบต์ = 1,000 GB) ทั้ง iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max นั้นได้รับการออกแบบมาเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้เหลือน้อยที่สุด ทำให้ Apple เข้าใกล้เป้าหมายของบริษัทมากยิ่งขึ้น นั่นคือการเลิกใช้พลาสติกในบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดภายในปี 2025
iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max จะวางจำหน่ายในสีกราไฟต์, ทอง, เงิน และเซียร์ร่าบลู ในความจุ 128GB, 256GB, 512GB และ 1TB สามารถซื้อ iPhone 13 Pro ในราคา 3,890 บาทต่อเดือนเป็นระยะเวลา 10 เดือน หรือ 38,900 บาทก่อนการแลกซื้อ และ iPhone 13 Pro Max ในราคา 4,290 บาทต่อเดือนเป็นระยะเวลา 10 เดือน หรือ 42,900 บาทก่อนการแลกซื้อ ที่ apple.com/th/store, ในแอป Apple Store และที่ร้าน Apple Store10