[บทความนี้เป็น Advertorial]
มีหลายๆ โมเมนต์ที่เกิดขึ้นในชีวิตคนเรา เชื่อว่าคงไม่มีใครที่อยากจะลืมมันไปให้หมดหรอก หรือบางโมเมนต์เล็กๆ น้อยๆ เช่น ไปซื้อของในซูเปอร์มาร์เก็ต ก็คงไม่มีใครอยากจะลืมว่าจะซื้ออะไร หรือทำอะไรต่อไปให้หงุดหงิดตัวเอง ยิ่งในชั่วโมงเร่งรีบในชั่วโมงการทำงานของคนกลุ่มนี้ ที่จำเป็นต้องใช้สกิลการทำงานได้หลากหลาย (multitasking skills) ในการจัดการหลายๆ เรื่องพร้อมกัน บางทีความเครียดเหล่านี้ สามารถทำให้การจัดการและความจำของคนเราไม่มีประสิทธิภาพเหมือนเดิม
ยิ่งเราอยู่ในยุคของเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญ ซึ่งมีส่วนทำให้ความสามารถในการจดจำลดลงได้ งานวิจัยหลายแห่ง หนึ่งในนั้นก็คือ Diana Tamir นักวิจัยจาก Princeton University ที่วิเคราะห์ว่า การใช้เวลากับโซเชียลมีเดีย หรือแพลตฟอร์มดิจิทัลอื่นๆ ที่มากเกินไป มีส่วนทำให้หน่วยความจำของคนเราลดลงได้ประมาณ 10% (1)
จึงไม่น่าแปลกใจหากเราจะเห็นชั่วโมงในการทำงาน แม้แต่ในวัยเรียนที่ต้องทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกัน หรือต้องจำอะไรในปริมาณมากๆ เช่น ข้อมูลในห้องประชุม/ห้องเรียน, งานที่ต้องเคลียร์กับลูกค้าทั้งสัปดาห์ ฯลฯ เราจะเริ่มรู้สึกว่าความจำและการจัดการเรื่องเหล่านี้มีประสิทธิภาพลดลง รู้สึกไม่มีสมาธิ ไม่สามารถโฟกัสกับสิ่งนั้นได้นานตามแผน
พฤติกรรมหรือความเครียดในแต่ละวัน บวกกับอายุที่มากขึ้นทุกปี ความเสื่อมโทรมของหน่วยความจำจึงลดลงตามช่วงอายุ จนวันหนึ่งเราสามารถลืมกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ได้ อย่างเช่น การลืมว่าเมื่อกี้จะพูดอะไร, ลืมว่าเราเซฟไฟล์งานไว้ที่ไหน, ลืมว่าเมื่อกี้อาจารย์สอนเรื่องอะไร จนเราสามารถลืมของบางอย่างในที่ที่ไม่ควรลืม เช่น ลืมรีโมตไว้ในตู้เย็น, ลืมมือถือไว้ในไมโครเวฟ, ลืมแว่นตาทั้งๆ ที่คาดอยู่บนหัว เป็นต้น
โดยอาการหลงลืมเหล่านี้เริ่มเกิดขึ้นในกลุ่มคนที่อายุน้อยมากขึ้นในปัจจุบัน อย่างผลการศึกษาที่เปิดเผยในรายงาน Daily Express จากผู้ทดสอบ 1,000 คนในลอนดอน จำนวนหนึ่งในพวกเขาสังเกตเห็นว่า ตัวเองเริ่มมีความจำที่ลดลงตั้งแต่อายุ 30 ปี โดย 1 ใน 5 ที่ทำการทดสอบลืมแม้กระทั่งแว่นตา, กุญแจ หรือเงินที่เก็บไว้(2)
คล้ายๆ กับสิ่งที่ Susan Lehmann จากคลินิกจิตเวชผู้สูงอายุที่โรงพยาบาล Johns Hopkins ในสหรัฐอเมริกา ที่ระบุว่า “ความซับซ้อนความวุ่นวายในชีวิตประจำวัน รวมไปถึงปริมาณเรื่องที่สมองต้องจำและจัดการในเวลาเดียวกัน สามารถทำให้การลืมบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นได้ง่ายในวันหนึ่ง”(3) จึงพูดได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพฤติกรรมทั้งการทาน การออกกำลังกาย หรือการผ่อนคลายจากความเครียดระหว่างวัน สามารถช่วยได้ระดับหนึ่ง แต่หากกลุ่มคนที่เผชิญกับความเครียด หรือที่ต้องใช้สกิลการบริหารจัดการอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกันในแต่ละครั้ง การหาตัวช่วยที่เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีความน่าเชื่อถือและมีประสิทธิภาพ ถือว่าเป็นอีกวิธีเสริมสร้างความมั่นใจให้กับเราในเรื่องนี้ได้
การดูแลใส่ใจตัวเองไม่ใช่แค่เรื่องของร่างกายเท่านั้น แต่รวมไปถึงเรื่องการจดจำ การสร้างความมั่นใจให้เราสามารถจัดการเรื่องวุ่นๆ ได้ดีขึ้น เมื่อความมั่นใจดี ทักษะอื่นที่จำเป็นก็จะถูกพัฒนาขึ้นตาม รวมไปถึงทักษะการจัดการหลายๆ อย่างที่จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจึงเป็นทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจของกลุ่มคนรักสุขภาพ ทั้งวัยเรียน, วัยทำงาน หรือผู้สูงอายุ ทั้งยังสามารถส่งต่อความใส่ใจนี้ไปถึงคนสำคัญในครอบครัวได้อีกด้วย
สำหรับส่วนผสมของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในปัจจุบันนั้นมีหลายอย่างด้วยกัน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละผลิตภัณฑ์ต้องการจะพัฒนาและชูจุดเด่นด้านไหนโดยเฉพาะ แต่ในวันนี้ทางเราได้หยิบส่วนผสมที่น่าสนใจมาให้ดูกัน ทั้งหมด 3 อย่าง ได้แก่
PROBEPTIGEN® (โปรเบปทิเจนจากไก่) หรือไฮโดรไลซ์เปปไทด์จากไก่ ที่ผ่านการวิจัยและพัฒนามานานกว่า 10 ปีแล้ว
แคลเซียม ที่มีส่วนช่วยในการทำงานตามปกติของสารสื่อประสาท
และมีวิตามินอี ซึ่งเป็นส่วนช่วยในการปกป้องเซลล์จากอนุมูลอิสระ และเป็นหนึ่งในวิตามินที่ร่างกายคนเราไม่สามารถผลิตเองได้ เราจึงจำเป็นต้องทานเสริมเข้าไป (4)
เชื่อว่าส่วนผสมทั้ง 3 อย่างที่เล่ามานั้นอาจจะรู้จักกันมาบ้างแล้ว แต่คงมีอีกหลายคนที่ไม่รู้ว่าส่วนผสมเหล่านั้นสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในด้านการจดจำได้ด้วย รู้แบบนี้แล้ว หากอยากเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ตัวช่วยผลิตภัณฑ์เสริมอาหารก็น่าสนใจทีเดียว ยิ่งจดจำได้มาก จัดการชีวิตได้ดี มีสติ ไม่หลุดโฟกัส ก็คงเหมือนเราได้ต่อความสุขให้ชีวิตมากขึ้นไปอีกนั่นเอง
บทความนี้สนับสนุนโดย แบรนด์® เอ็ม-โอ-พลัส
แหล่งที่มา :
(1)www.psychologicalscience.org, (2)www.firstpost.com, (3)www.washingtonpost.com, (4)www.paolohospital.com
[บทความนี้เป็น Advertorial]
