สำหรับการทำการตลาดด้วยภาพ หรือ Visual Marketing ปัจจุบันกลายเป็นเครื่องมือของนักการตลาดที่สำคัญที่สุดในยุคนี้ ซึ่งคาดการณ์ว่าหลังจากปี 2021 การตลาดเชิงภาพจะมีความสำคัญมากขึ้นถึง 80% ของธุรกิจที่ต้องพึ่งพา Visual marketing ดังนั้น สิ่งที่นักการตลาดควรรู้ ก็คือ การตลาดเชิงภาพแบบไหนที่จะตอบโจทย์ผู้เสพคอนเทนต์จริงๆ
ในขณะที่ธุรกิจส่วนใหญ่รู้ว่า Visual Marketing มีความสำคัญ แต่เราจะใช้ประโยชน์จากการบริโภครูปแบบนี้ได้อย่างไร เพราะปัจจัยหลักๆ ที่การตลาดเชิงภาพเป็นที่สนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ก็คือ #เวลา (ผู้บริโภคมีเวลาเสพคอนเทนต์น้อยลง) เพราะสิ่งยั่วยุต่างๆ มากขึ้น
ทั้งนี้ ลองขยายความว่ายุคที่ใครๆ ต่างก็มีเวลาบริโภคคอนเทนต์น้อยลง เป็นเหตุผลว่าการตลาดด้วยภาพจึงสำคัญมากขึ้น เพราะหากเปรียบเทียบกับการอ่านตัวหนังสือที่ต้องใช้เวลามากกว่า คอนเทนต์ภาพประมาณ 1/10 วินาที จะเป็นช่วงเวลาที่คนจะเห็นและเข้าใจสิ่งที่อยากนำเสนอด้วยภาพทั้งหมดได้ ในขณะที่ตัวหนังสือกว่าจะเข้าใจได้ ต้องใช้เวลา 1 นาที กับจำนวนตัวอักษร 200-250 คำ และก็ไม่ใช่ทุกคอนเทนต์ที่จะทำให้เข้าใจสิ่งที่ต้องการจะสื่อสารภายใน 250คำได้)
นอกจากนี้ ผลการศึกษายังบอกด้วยว่า คอนเทนต์เชิงภาพจะช่วยให้เกิดความเข้าใจที่ง่ายขึ้นกว่าตัวหนังสือ โดยจะเห็นว่า Vistual marketing เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการตลาดนานแล้ว เช่น ฉลากบนผลิตภัณฑ์อันตรายที่มีเชิงสัญลักษณ์ แทนที่จะใช้ตัวอักษรเตือนว่า ‘อันตราย’ เป็นต้น
ทั้งนี้ ผลการศึกษาของนักการตลาดได้พูดแนะนำวิธีการสร้างคอนเทนต์ภาพในรูปแบบ #Video ว่ามีอยู่ 3 อย่างหลักๆ ที่ควรปรับใช้ และยังสร้างประโยชน์ต่อธุรกิจอยู่ ก็คือ
Add captions (เพิ่มคำบรรยาย)
การับชมคอนเทนต์วิดีโอที่มำบรรยายจะดึงดูดให้ดูมากกว่าวิดีโอที่ไม่มีคำบรรยาย นอกจากนี้ยังพบว่า คำบรรยายที่โชว์ทั้ง original language และภาษาอังกฤษไปพร้อมๆ กันก็ได้รับความนิยมมากขึ้นเช่นกัน
ขณะเดียวกันมีผลการศึกษาที่ระบุว่า มีผู้ที่เสพคอนเทนต์วิดีโอเลือกที่จะปิดเสียงแต่อ่านเฉพาะคำบรรยายมากขึ้นด้วย ซึ่งการเพิ่มคำบรรยายทุกคลิปวิดีโอจึงสำคัญมากในการดึงดูดคนดู
Resize to vertical dimensions (ปรับขนาดเป็นแนวตั้ง)
อันนี้คงไม่ต้องบอกกันว่าทำไม วิดีโอที่เป็นแนวตั้งถึงกำลังมาแรงกว่าแนวนอนซึ่งเป็นรูปแบบเก่า เห็นได้จากความร้อนแรงของ TikTok หรือจะเป็น IG Story ที่เป็นแพลตฟอร์มยอดฮิตของคนในยุคนี้
แม้ว่ารูปแบบวิดีโอแนวนอนจะอยู่ไม่ได้ล้าสมัย แต่คอนเทนต์วิดีโอที่เป็นนอนตั้งจะดึงดูดความสนใจได้มากกว่า
Go live (ถ่ายทอดสด)
ความเรียลไทมส์ที่เป็นเสน่ห์ของยุคนี้ทำให้ธุรกิจต้องใส่ใจกับการไลฟ์สดมากขึ้น ไม่ว่าจะอุตสาหกรรมไหนก็ตาม โดยมีการประเมินว่าภายในปีนี้การไลฟ์สดจะเป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าถึง 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ดังนั้น เพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคด้วยการไลฟ์สด ซึ่งปัจจุบันก็มีแพลตฟอร์มมากขึ้นซัพพอท เช่น IG Live Q&A
ขณะที่ #ความถี่ ในการใช้รูปแบบนี้ก็มีส่วนในการกระตุ้นให้ผู้บริโภคจดจำ และรับรู้เกี่ยวกับธุรกิจของเรา ซึ่งนักการตลาดรีมาร์กไว้ว่า ความถี่ที่มากเกินไปจะสร้างความน่ารำคาญ ขณะที่การหายหน้าหายตาก็จะทำให้แบรนด์เราถูกลืมได้เหมือนกัน ต้องขึ้นอยู่กับธุรกิจนั้นๆ ไม่มีสูตรสำเร็จรูปในการไลฟ์สด
นอกจากคอนเทนต์วิดีโอที่เป็นที่นิยม นักการตลาดให้ลองทำการตลาดด้วยการสร้างวิดีโอแอนิเมชั่น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งรูปแบบวิดีโอที่ได้รับความสนใจมากขึ้นในปัจจุบัน
สำหรับการตลาดแบบภาพในรูปแบบอื่นก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะช่วยสร้างการรับรู้ หรือการทำ brand reminding ได้มากขึ้น ไม่ว่าจะผ่านรูปแบบ อินโฟกราฟฟิค, การเล่าเรื่องด้วยภาพ, การใช้ภาพเชิงสัญลักษณ์บอกจุดประสงค์ของแคมเปญแทนตัวหนังสือ ฯลฯ
ทั้งนี้ นอกจากจะช่วยเพิ่มการรับรู้เกี่ยวกับธุรกิจได้ ยังสร้างประโยชน์ต่อเนื่องจากคอนเทนต์เชิงภาพด้วย เช่น
การแชร์ภาพ – การเล่าเรื่องผ่านรูปภาพนอกจากจะดึงความสนใจได้ ยังทำให้คนอยากแชร์ผ่านเชียลมีเดียมากขึ้นด้วย
ช่วยให้เกิด SEO – ในเมื่อคอนเทนต์เชิงภาพจทำให้เกิดการแชร์มากขึ้น การแชร์นั้นๆ จะเพิ่มประสิทธิภาพในแง่ของ SEO (Search Engine Optimization) รู้หรือไม่ว่า นักการตลาดใช้ประโยชน์จากการแชร์ และ SEO ที่เกิดจากการแชร์+บทสนทนาในโซเชียลมีเดียในการต่อยอดแคมเปญ, โปรโมชั่น
ลองย้อนภาพไปสมัยก่อนที่จริงการตลาดแบบ Visual ไม่ใช่เรื่องใหม่เลย เพียงแต่วิวัฒนาการของการทำมาร์เก็ตติ้ง ได้แบ่งสัดส่วนรูปภาพ – วิดีโอ – ตัวหนังสือที่ต่างกันออกไป ปรับ-ลดความสำคัญของแต่ละประเภทลงไม่เหมือนกัน ดังนั้น สิ่งที่ธุรกิจและนักการตลาดต้องทำก็คือ ต้องปรับตัวและใช้ประโยชน์จากวิวัฒนาการของแต่ละยุคให้มากที่สุดเพื่อการเติบโตของธุรกิจ
ที่มา: business2community, activemarketing, neomam