TV เป็นอุปกรณ์ที่มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการพัฒนาเทคโนโลยีที่ให้ความคมชัดของภาพ ซึ่งในระยะเวลาต่อมาเริ่มมีการพัฒนาดีไซน์ตามยุคสมัย เพื่อให้ TV กลายหนึ่งในอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน แล้วสามารถบ่งบอกตัวตนของแต่ละคนได้ ยิ่งไปกว่านั้น TV ยังถูกนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์โดยเฉพาะการเป็นสื่อประชาสัมพันธ์ (Display) เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย
เทคโนโลยี TV ที่หลายคนรู้จักกันเป็นอย่างดีคือ LED TV ที่เรียกได้ว่าเป็น TV ที่ให้ความละเอียดคมชัดสูงที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีจุดอ่อนที่ต้องปรับแก้จนมาถึงจุดของ QLED TV ซึ่งให้ภาพที่คมชัดยิ่งกว่าคมชัด แล้วอะไรคือความแตกต่างระหว่าง LED TV กับ QLED TV
ความแตกต่าง QLED TV และ LED TV
หลายคนคงรู้จักเทคโนโลยี LED TV ซึ่งให้ความละเอียดของภาพสูงมาก โดยเฉพาะความละเอียดภาพในระดับ Full HD แต่ก็ให้ความคมชัดของขอบภาพในขณะที่มีการเคลื่อนไหวได้อย่างไม่ชัดเจน อีกทั้ง LED TV แม้จะแสดงผลสีดำได้ดีขึ้น แต่เมื่อเทียบค่าสีดำจะพบว่ายังไม่ดำสนิท ซึ่งเป็นผลมาจากแหล่งกำเนิดแสงที่อยู่บริเวณขอบ TV ทำให้ภาพในช่วงเวลากลางคืนมีความพร่ามัวและไม่มืดเลย
ซึ่งทำให้อรรถรสการรับชมภาพยนตร์ในแสดงช่วงเวลาที่เป็นกลางคืนได้รับไม่เต็มที่ และหากนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์จะทำให้ส่วนที่เป็นสีดำในการแสดงภาพไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่ก่อให้เกิดสีดำไม่สนิทบางช่วง โดยเฉพาะเมื่อต้องใช้อยู่ในที่กลางแจ้ง ทำให้เกิดเทคโนโลยี OLED TV (Organic Light Emitting Diode) ที่เปลี่ยนจุดกำเนิดแสงมาเป็นตัวหลอด LED ในจอช่วยให้เกิดสีดำที่ดำสนิท และยังให้ความละเอียดของภาพได้สูงขึ้รถึงระดับ 4K
และแม้ความละเอียดของภาพจะขยับขึ้นสู่ระดับ 4K แต่การแสดงผลภาพบางจุดก็ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ทั้งหมด นั่นจึงทำให้มีการคิดค้นเทคโนโลยีใหม่เกิดขึ้นภายใต้ชื่อ QLED TV (Quantum-Dot Light-Emitting Diode) ที่ช่วยลดขนาดหลอด LED ลง 40 เท่าเมื่อเทียบกับหลอด LED ปกติ เทียบให้เข้าใจง่ายๆ จากเดิมพื้นที่ 1 หลอด LED ใน OLED TV จะสามารถติดตั้ง QLED ได้ถึง 40 หลอด ซึ่งหมายถึงความละเอียดของภาพที่มากขึ้นจนสามารถให้ความละเอียดได้สูงถึง 8K นอกจากนี้ยังช่วยให้สามารถมองเห็นภาพได้คมชัดทุกองศาการมองทีวี แม้จะอยู่ในพื้นที่กลางแจ้งก็ตาม
Neo QLED เทคโนโลยีใหม่จาก Samsung
จากผลสำรวจของ Nielsen พบว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคในช่วงที่ผ่านมามีแนวโน้มในการใช้ TV หลากหลายจุดประสงค์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการรับชมข่าวสาร ฟัง Podcast หรือเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทีวีแทนการใช้คอมพิวเตอร์ นอกจากนี้พฤติกรรมการใช้งานทีวีที่เพิ่มขึ้นยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้สถานการณ์ในหลายประเทศจะเริ่มผ่อนคลายลงากมาตรการป้องกันโรคระบาด โดยเฉพาะกิจกรรมอย่าง Home Entertainment ที่เติมโตสูงสุดในรอบ 6 ปี ชี้ให้เห็นถึงความต้องการ TV ที่มีคุณภาพของภาพและเสียงเทียบเท่าโรงภาพยนตร์
ซึ่งล่าสุด Samsung ได้เปิดตัวทีวี Neo QLED อย่างเป็นทางการในประเทศไทย โดยสามารถแสดงผลภาพความคมชัดสูงสุดที่ระดับ 8K พร้อมด้วยเทคโนโลยี AI ที่ช่วยให้การชมภาพสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น พร้อมด้วยฟังก์ชันรีโมท TV ที่สามารถสั่งงานด้วยเสียงผ่านรีโมทคอนโทรล และยังอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วยการออกแบบให้รีโมทคอนโทรลสามารถใช้พลังงานแสงไม่ต้องพึ่งพาถ่านที่จะกลายเป็นขยะเทคโนโลยีในอนาคต
โดย TV Neo QLED มาพร้อมเทคโนโลยี Quantum Mini LED ที่มีขนาดเล็กกว่าหลอด LED ปกติถึง 40 เท่าทำให้สามารถจัดวางต้นกำเนิดแสดงได้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ถูกควบคุมอย่างละเอียดแม่นยำด้วยนวัตกรรม Quantum Matrix พร้อมทั้งได้ขุมพลังจากชิปเซ็ตประมวลผล Neo Quantum Processor ทำให้สามารถถ่ายทอดประสบการณ์สมจริงใกล้เคียงความจริง พร้อมด้วยระบบเสียงจากเทคโนโลยี SpaceFit Sound ที่วิเคราะห์สภาพแวดล้อมของห้องและปรับเสียงของทีวีอย่างเหมาะสมได้โดยอัตโนมัติ และนวัตกรรม Object Tracking Sound Pro (OTS Pro) ทำให้เสียงเคลื่อนไหวไปตามภาพตรงตามตำแหน่งของต้นกำเนิดเสียง
นอกจากนี้ยังมีการออกแบบ Neo QLED ใหม่เพื่อเพิ่มประสบการณ์การรับชมด้วยดีไซน์แบบ Infinity Q Screen ที่ลดความหนาของขอบทีวีลดจนแทบจะมองไม่เห็น โดยขอบทีวี Neo QLED ในรุ่น 8K มีความหนาเพียง 0.8 มิลลิเมตร และยังใช้งานง่ายด้วย Google Assistant ที่รองรับการสั่งงานด้วยเสียงภาษาไทย สามารถใช้ทำงานด้วย Microsoft 365 บน TV และการประชุมทางไกลด้วย Google Duo ที่รองรับไดสูงสุดถึง 32 คอลในครั้งเดียว
TV จอใหญ่ยังตอบทุกความต้องการ
ซึ่งจากยอดขาย TV ระดับ Premium ของ Samaung ในปี 2020 มีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 35% ขณะที่แนวโน้มมูลค่าตลาดรวม TV จะลดลงกว่า 5% อยู่ที่ประมาณ 2.65 หมื่นล้านบาท ซึ่งกลุ่ม TV 8K ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่อง ในส่วนของตลาด TV จอใหญ่ยังคงมีความต้องการสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยในปี 2020 ยอดขาย TV ขนาด 75 นิ้วขึ้นไป เติบโตขึ้นถึง 26% และช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2021 ยอดขาย TV ติบโตขึ้นเกือบเท่าตัวราว 89% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2020
นอกจากนี้ ช่องทางออนไลน์ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในตลาด TV ปี 2020 เนื่องจากมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด ทำให้ร้านค้าต่างๆ ต้องปิดลงชั่วคราว ส่งผลให้ผู้บริโภคหันมาให้ความสนใจช่องทางออนไลน์มากขึ้น โดยที่ผ่านมาพบว่า มีการซื้อ TV Samsung ผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น 75% เมื่อเทียบกับปี 2019 โดยคิดเป็นยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ในสัดส่วน 22% ของยอดขายทั้งหมด
แม้ว่าในปัจจุบันการใช้งาน TV ในเชิงพาณิชย์จะหยุดลงเนื่องจากการแพร่ระบาด แต่มาตรการ Work from Home ก็ทำให้หลายคนอยู่บ้านมากขึ้น การมี TV จอใหญ่ช่วยเติมเต็มความสุขที่ต้องอยู่แต่ในบ้าน โดยเฉพาะ TV จอใหญ่ที่ให้ความละเอียดสูงช่วยเพิ่มอรรสรถเติมเต็มทุกอารมณ์ ที่สำคัญ TV ในปัจจุบันทำได้มากกว่าแต่การรับชม ยังช่วยให้สามารถทำงานได้ละเอียดมากขึ้น ช่วยให้มองเห็นความแตกต่างของงานได้ชัดมากขึ้น
โดย Samsung Neo QLED 8K (รุ่น QN800A และรุ่น QN900A) วางจำหน่ายแล้วในขนาด 65 นิ้ว, 75 นิ้ว และ 85 นิ้ว เริ่มต้นที่ 94,990 บาท ในขณะที่รุ่นความละเอียด 4K (รุ่น QN90A และรุ่น QN85A) มีให้เลือกตั้งแต่ขนาด 50 นิ้วจนถึง 85 นิ้ว เริ่มต้นที่ 44,990 บาท
เส้นทางเทคโนโลยีทีวีกว่าจะมาเป็น QLED TV
TV ถือเป็นสื่อชนิดหนึ่งที่ให้ทั้งสาระความรู้และความบันเทิง ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นวิวัฒนาการที่มาจากการพัฒนาคลื่นความถี่ ซึ่งแต่เดิมถูกใช้ในด้านวิทยุด้วยการแปลงสัญญาณเสียงเป็นคลื่นความถี่ และแปลงคลื่นความถี่ออกมาเป็นเสียงในรูปแบบอนาล็อก ซึ่งวิทยุได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายจนเกิดคำถามขึ้นว่า ถ้าเสียงสามารถแปลงเป็นคลื่นความถี่ได้ แล้วทำไมแสงและรูปภาพจะแปลงเป็นคลื่นความถี่ไม่ได้
จึงทำให้เกิดการพัฒนาคลื่นความถี่เพื่อใช้ในการส่งภาพและเสียงในรูปแบบคลื่นโทรทัศน์ โดยใช้หลักการเดียวกับการฉายภาพยนตร์ ด้วยการใช้จุดกำเนิดแสงฉายไปที่ตัวภาพเพื่อให้ภาพไปตกกระทบบนจอในอัตราส่วน 32 ภาพต่อวินาที นั่นจึงทำให้เกิด TV ยุคแรกในรูปแบบของ CRT TV (Cathode Ray Tube Monitor) หรือจอแก้วในรูปแบบขาวดำ โดยใช้เครื่องยิงภาพมาที่จอในอัตราส่วน 32 ภาพต่อวินาที
ต่อมาจึงพัฒนาสู่การถ่ายภาพในระบบสี โดยใช้หลักการผสม 3 แม่สีหลัก แต่ด้วยระบบการทำงาน CRT TV ทำให้เกิดผลกระทบต่อดวงตาของผู้รับชม ทำให้ผู้ชม CRT TV รู้สึกเมื่อยล้าดวงตาเมื่อต้องชมเป็นเวลานานๆ ทำให้มีการพัฒนาเทคโนโลยีจนกลายเป็น Plasma TV และ LCD TV (Liquid Crystal Display) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนจุดกำเนิดแสง โดย LCD TV จะใช้หลอด CCFL ขายหลอดนีออนผอมขนาดเล็กติดตั้งตามแนวยาวของ TV ด้านหลังจอ แล้วฉายภาพแสงสีมาตกกระทบที่จอโดยไม่มีการกำหนดอัตราส่วนการฉายภาพ
ขณะที่ Plasma TV ใช้เม็ดสีฉายภาพออกมาในแต่ละจุด แต่ทั้ง LCD TV และ Plasma TV ต่างก็มีจุดอ่อนในการแสดงผลกลางที่แจ้ง จนพัฒนาสู่การเป็น LED TV เพิ่งแสดงผลแสงและสีออกมาจากเม็ดหลอดไฟ LED โดยตรง ทำให้ได้ภาพที่คมชัดแสงสีสดใสและมีผลกระทบต่อดวงตาน้อยกว่า CRT TV หลายเท่า ที่สำคัญยังสามารถแสดงผลภาพได้ในที่โล่งแจ้งและให้ค่าสีดำที่ดำสนิท
ดังนั้นสรุปได้ว่า เทคโนโลยี QLED จะให้ความละเอียดของภาพมากขึ้นเผยให้เห็นรายละเอียดเล็กน้อยของภาพได้ชัดเจนขึ้น อีกทั้งแหล่งกำเนิดแสงยังมีขนาดเล็กมากๆ ทำให้สามารถดีไซน์ออกมาได้บางเฉียบ เมื่อประกอบกับเทคโนโลยีด้านเสียงทำให้ QLED เหมาะในการเป็นอุปกรณ์ใช้ต้อนรับแขกในบ้าน และเหมาะในการเป็น Display ที่ต้องการความคมชัดอย่างมาก แต่ก็ต้องแลกมากับสนนราคาที่ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะในช่วงที่มีหลายเกมส์กีฬาพร้อมเปิดการแข่งขัน ซึ่งการเลือกใช้ TV ที่ดีที่สุดอาจเป็นจุดขายของร้านค้าโดยเฉพาะร้านอาหาร