ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งประเทศที่พึ่งพาการส่งออก โดยเฉพาะรายได้จากภาคการผลิต อาทิ รถยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ นั่นจึงทำให้เกิดสิ่งอำนายความสะดวกให้กับภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะนิคมอุตสาหกรรมที่เป็นพื้นที่สำหรับภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ ซึ่งจำเป็นต้องมีระบบสาธารณูปโภคต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องของระบบไฟฟ้าซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญและเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญในภาคการผลิต
เพราะระบบไฟฟ้ามีความสำคัญอย่างยิ่ง ทำให้ สิงห์ เอสเตท (SINGHA ESTATE) ที่มีวิสัยทัศน์ในด้านการเติบโตอย่างยั่งยืนเชิงกลยุทธ์ โดยเมื่อไม่นานนี้ สิงห์ เอสเตท เข้าซื้อหุ้นสามัญถึง 30% ในโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม (Cogeneration Power Plant) ถึง 3 แห่งด้วยกัน เมื่อรวมทั้ง 3 โรงไฟฟ้าจะทำให้มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมกว่า 400 เมกะวัตต์ โดยได้สิทธิซื้อหุ้นที่ราคาพาร์ คิดเป็นมูลค่าการลงทุนครั้งนี้รวมมากกว่า 1,300 ล้านบาท
โดยโรงไฟฟ้าแห่งแรกนั้นเป็นของ บริษัท อ่างทอง เพาเวอร์ จำกัด มีกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งสิ้น 123 เมกะวัตต์ ขณะที่แห่งที่ 2 และแห่งที่ 3 อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง โดยเป็นของ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (ราชบุรี) 1 จำกัด และ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (ราชบุรี) 2 จำกัด โดยมีกำลังการผลิตไฟฟ้าโรงละ 140 เมกะวัตต์และจะเริ่มผลิตไฟฟ้าได้ในปี 2566 ซึ่งทั้ง 3 แห่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ ฟู๊ด วัลเลย์ ไทยแลนด์
ปัจจุบันมีสัญญาขายไฟฟ้าล่วงหน้าแล้วเกือบ 70% ของกำลังผลิตทั้งหมด หรือคิดเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าอยู่ที่ 270 เมกะวัตต์ คาดการณ์ว่าจะสร้างรายได้ 7,500 ล้านบาทในปี 2567 ซึ่งจะทำให้สิงห์ เอสเตท มีกำไรมากกว่า 5 เท่าจากเงินลงทุน
ลองคิดคำนวณดูง่ายๆ 400 เมกะวัตต์เทียบเท่าพลังงานไฟฟ้า 400 ล้านยูนิต หากโรงงานอุตสาหกรรมใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 2 แสนยูนิตต่อเดือน จะสามารถจ่ายพลังงานไฟฟ้าครอบคลุมถึง 2,000 โรงงานอุตสาหกรรม และหากคิดอัตราค่าไฟฟ้าในช่วง Peak ที่ 5 บาทต่อหน่วย จะทำให้มีรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าให้โรงงานอุตสาหกรรมแห่งละ 1 ล้านบาท เมื่อนำมาคิดรวมจำนวน โรงแรมอุตสาหกรรมที่จำหน่ายไฟฟ้าให้จะมีรายได้ประมาณ 2,000 ล้านบาทต่อเดือน (ทั้งนี้เป็นเพียงการคิดคำนวณแบบคร่าวๆ โดยอ้างอิงอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับกิจการขนาดเล็กของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ในช่วงเวลา Peak Time ของปี 2561)
นี่คือการปรับกลยุทธ์ Resilient Business หรือการเข้าสู่ธุรกิจที่มีความยืดหยุ่นได้ ซึ่งหลายธุรกิจทราบดีว่าในยุคปัจจุบันมีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา (Disruption) นั่นจึงทำให้ต้องเพิ่มโอกาสทางธุรกิจโดยอยู่บน Core Business เช่นการที่สิงห์ เอสเตทขยายธุรกิจสู่ธุรกิจโรงไฟฟ้า เมื่อมี Supply แล้ว สิงห์ เอสเตทจึงต้องหา Demand เพื่อเข้ามาซื้อพลังงานไฟฟ้า ซึ่งนิคมอุตสาหกรรมคือกลุ่มที่ใช้ไฟฟ้าสูงที่สุดในประเทศ โดยยังคงอยู่บน Core Business ของสิงห์ เอสเตทที่เน้นการจัดสรรพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
จึงเป็นที่มาของการเข้าซื้อหุ้น 100% ของ บริษัท ปาร์ค อินดัสตรี จำกัด ในฐานะเจ้าของนิคมอุตสาหกรรม เวิลด์ ฟู๊ด วัลเลย์ ไทยแลนด์ ซึ่งมีเนื้อที่ 1,790 ไร่ใน จ.อ่างทอง และเป็นที่ตั้งของโรงไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งที่ สิงห์ เอสเตทเข้าซื้อหุ้นก่อนหน้านี้ โดยคาดว่าการโอนหุ้นว่าจะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2564
สำหรับการเข้าซื้อนิคมอุตสาหกรรมในครั้งนี้ มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 2,421 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น 510 ล้านบาทสำหรับจ่ายเพื่อเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดในราคาพาร์ ขณะที่อีก 1,726 ล้านบาทจะถูกนำไปใช้ในการลงทุนพัฒนานิคมอุตสาหกรรมและส่วนที่เหลือจะถูกนำไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ
โดยทาง คุณฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สิงห์ เอสเตท ชี้ว่า การผสานธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมเข้ากับธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้าจะสร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจของสิงห์ เอสเตท ทั้งในด้านการเงินและการดำเนินงาน เนื่องจากนิคมอุตสาหกรรมเป็นหนึ่งในผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุด ซึ่งโรงไฟฟ้าทั้งสามแห่งสามารถตอบสนองความต้องการของโรงงาน แล้วยังสามารถขายไอน้ำที่ได้จากการผลิตไฟฟ้าไปยังอุตสาหกรรมอาหารอีกด้วย
นอกจากในเรื่องเชิงกลยุทธ์แล้ว การเข้าซื้อธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมที่ตั้งอยู่ในภาคกลางของประเทศไทย ยังช่วยสร้างโอกาสในการเติบโตตามวิสัยทัศน์ของสิงห์ เอสเตท ด้วยอัตราการเข้าใช้พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของทั้งประเทศเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 80% จากข้อมูลเมื่อช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา โดยพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทยมีอัตราการเข้าใช้ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอยู่ในระดับสูงสุดประมาณ 89% และคาดว่าความต้องการที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมของไทยจะเพิ่มขึ้น หลังการคลี่คลายของวิกฤต COVID-19
ในอนาคต สิงห์ เอสเตท อาจมองพื้นที่อื่นๆ ในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมควบคู่กับการสร้างโรงไฟฟ้า หรืออาจจะเป็นลักษณะการเข้าซื้อหุ้นซื้อกิจการ เพื่อช่วยให้สามารถต่อยอดในธุรกิจที่ครบวงจรให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นในอนาคต