MarketingOops! Brand Life Podcast EP.12 ชวนฟังเรื่องราวสนุกๆ ในแบบ Story Telling โดย อธิกร ศรียาสวิน (ก้า อรินธรณ์) ผู้อำนวยการสถาบัน Academy of Business Creativity (ABC) ม.ศรีปทุม นักการตลาดอินดี้ ที่ปรึกษาด้านครีเอทีฟแบรนดิ้ง ภายใต้หัวข้อ “การเดินทางของแบรนด์รองเท้า..เปลี่ยนโลก”
การเดินทางของแบรนด์รองเท้า..เปลี่ยนโลก
อาจเพราะเป็นคนชอบเดินทาง ก็เลยมีความรู้สึกอยู่เสมอๆ ว่า การมีรองเท้าที่ดีเหมาะกับเท้าของเรานั้น มันช่างมีประโยชน์กับชีวิตมากๆ
ถ้าอยากรู้ว่า รองเท้านั้นสำคัญอย่างไร วิธีการง่ายๆ ก็คือ ให้คุณทดลองถอดรองเท้า แล้วลองเดินแบบเท้าเปลือยเปล่าไปตามท้องถนน รับประกันว่าไม่ถึงสิบนาที คุณจะพบได้ว่าเท้าที่ปราศจากรองเท้านั้น มันทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลงมากเพียงใด
ความรู้สึกนี้ ติดค้างอยู่ในใจ จนวันหนึ่งก็ได้มีโอกาสได้รับรู้เรื่องราวของรองเท้าสองยี่ห้อ
TOMS แบรนด์รองเท้าเพื่อลดความเลื่อมล้ำ
รองเท้าคู่แรก มีชื่อแบรนด์สั้นๆ ว่า TOMS
กับเรื่องราวชีวิตของ ชายหนุ่มนามว่า เบลค ไมโคสกี้ (Blake Mycoskie) กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนที่เขาได้ออกเดินทางย่ำโลก เพื่อท่องเที่ยวไปในทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของแรงบันดาลใจทั้งหมด
ณ ที่แห่งนั้น เบรคได้ไปพบกับบางสิ่ง ซึ่งมันได้เปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล
เพราะภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ณ ดินแดนประเทศอาร์เจนติน่า นั่นคือการได้เห็นภาพของเด็กๆ ยากจน ซึ่งต้องทนเดินไปโรงเรียน และวิ่งเล่นด้วยเท้าเปล่าๆ โดยปราศจากรองเท้าสวมใส่
ภาพของความขาดแคลนแบบสุดๆ ซึ่งปรากฏกับสายตาตัวเองนั้น มันไปกระตุกความคิดของเขาอย่างสุดแรง ทำให้เกิดเป็นแรงบันดาลใจที่จะริเริ่มทำธุรกิจรองเท้า ซึ่งสามารถช่วยเหลือ และแบ่งปันรองเท้าให้กับเด็กๆ ผู้ยากไร้ได้
รองเท้าเพื่อเด็กที่ขาดแคลน
เรื่องราวเล่าว่า เบลค เริ่มต้น ด้วยการย้อนกลับไปยังจุดตั้งต้นแบบสุดๆ นั่นก็คือ
การที่เขาไปเริ่มต้นฝึกหัดทำรองเท้า…
เพื่อเรียนรู้ และเพื่อที่จะเข้าใจกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นทาง เบลคใช้เวลาไปเรียนวิชาทำรองเท้า Alpargata ซึ่งเป็นรองเท้าผ้าใบท้องถิ่นของอาร์เจนติน่า ด้วยเพราะคุณสมบัติของการเป็นรองเท้าที่เบาสบาย ทนทาน และสำคัญที่สุดคือ เจ้ารองเท้าชนิดนี้มีราคาถูก จนผู้มีรายได้น้อยๆ สามารถเข้าถึงได้ ซื้อหาได้ ทำให้มันเป็นที่นิยมสุดๆ ในกลุ่มผู้ใช้แรงงาน
หลังจากใช้เวลาเรียนรู้ และเข้าใจถึงวิธีการทำรองเท้าจนเชี่ยวชาญ เขาทดลองผลิตมันและติดแบรนด์ TOMS ก่อนจะนำมันบินข้ามทวีปกลับมาขายในอเมริกา พร้อมๆ กับสโลแกนสุดเท่ห์ที่เขียนไว้ว่า
“รองเท้าทุกคู่ที่คุณซื้อไป เราจะบริจาครองเท้าอีกคู่ให้กับเด็กที่ขาดแคลน”
และนั่นกลายเป็นการจุดระเบิดสุดยอดแนวคิดเพื่อสังคม เพราะมันแสดงจุดยืนของ TOMS แบรนด์รองเท้าที่เจ้าของ มีความมุ่งมั่นอยากที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงโลก ให้เดินหน้าไปในทิศทางที่ดีขึ้น
ได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภค
ด้วยแนวคิดแบบนี้เอง ทำให้รองเท้า TOMS ดีไซน์เก๋ๆ ได้รับการตอบรับอย่างดี จนกลายเป็นกระแสบอกต่อ และฮิตติดลมในทันที ภายในปีแรก เบลคขายรองเท้าไปได้ถึง 10,000 คู่
และประสบความสำเร็จแบบสุดๆ กับโครงการ One For One ซึ่งเกิดขึ้นภายใต้แนวความคิดว่า เมื่อลูกค้าซื้อผลิตภัณฑ์ใดๆ ของ TOMS ไม่ว่าจะเป็นรองเท้า 1 คู่ หรือแว่นตา 1 ชิ้น TOMS จะมอบผลิตภัณฑ์นั้นๆ ให้กับผู้ขาดแคลนอีก 1 ชิ้น
TOMS กลายเป็นต้นแบบธุรกิจ กลายเป็นตัวอย่างของการทำงาน ซึ่งนำเอาผลกำไร กลับมาต่อยอดเพื่อพัฒนาและช่วยเหลือสังคม จนโด่งดังไปทั่วโลก และไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า นับจากวันนั้นถึงวันนี้ แบรนด์ TOMS บริจาครองเท้าไปแล้วกว่า 1 ล้านคู่ใน 25 ประเทศทั่วโลก
แบรนด์ The Shoe That Grows
ฉันจดจำเรื่องราวข้างต้นนี้ไว้ในใจ จนได้มีโอกาสรับรู้อีกเรื่องราวของแบรนด์รองเท้าคู่ที่สอง ซึ่งมีชื่อว่า “The Shoe That Grows”
เรื่องราวของนวัตกรรมชิ้นนี้ เกิดขึ้นจากประสบการณ์ตรงของชายหนุ่มนาม เคนตัน ลี (Kenton Lee) ในระหว่างที่เขาเดินทางไปทำงาน ณ กรุงไนโรบี ประเทศเคนยา ในทวีปแอฟริกา
เคนตัน สังเกตเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งในชีวิตประจำวัน เธอต้องทนสวมรองเท้าซึ่งมีขนาดเล็กกว่าเท้ามาก ณ วินาทีนั้น เขาปิ้งไอเดียบรรเจิด เกิดเป็นแนวความคิดขึ้นมาว่า
“มันน่าจะมีรองเท้าที่สามารถปรับเพิ่มขนาด โดยขยายให้ใหญ่ขึ้นได้ ตามขนาดเท้าของเด็กๆ ที่กำลังเติบโต และพัฒนาอยู่ตลอดเวลา”
เขาไม่เก็บความคิดไว้แค่เพียงในความฝัน แต่จัดการทำมันขึ้นมาให้เป็นของจริงๆ
รองเท้าที่สามารถปรับขยายขนาดได้ตั้งแต่เล็กยันโต
รองเท้าคู่เดิมๆ แต่สามารถขยายขนาดได้ตามวัย ใช้คู่เดียวตั้งแต่เล็กยันโต และเจ้ารองเท้าแบรนด์ Shoe That Grows นี่เอง ซึ่งเป็นผลผลิตจากความคิดในวันนั้น
อธิบายง่ายๆ Shoe That Grows ก็คือรองเท้าที่สามารถปรับขยายความยาวและความกว้างให้เพิ่มขึ้นได้ 5 ขนาด นับจากเบอร์ 5 ไปจนถึงเบอร์ 12 ทำให้รองเท้านี้มีอายุการใช้งานอย่างน้อยๆ ถึง 5 ปี โดยสามารถใส่ได้ตั้งแต่เด็กเล็กๆ ไปจนถึงวัยรุ่นอายุ 15 ปี
นอกจากผลิตรองเท้าเพื่อจำหน่ายแล้ว ลี ก็ยังก่อตั้งองค์กรการกุศลที่ชื่อว่า Because International เพื่อให้ลูกค้าได้มีช่องทางในการร่วมบริจาครองเท้า ให้กับเด็กๆ ที่ขาดแคลนซึ่งมีจำนวนมากมายกว่า 300 ล้านคนทั่วโลก
โดยผู้ที่ใจบุญสามารถร่วมซื้อรองเท้า ในราคาคู่ละ 300 บาท เพื่อบริจาคให้กับเด็กๆ โดยทางองค์กรจะช่วยส่งรองเท้าบริจาคไปในพื้นที่ที่ขาดแคลน ทั้งในทวีปแอฟริกา และอเมริกาใต้ อาทิใน เคนย่า เอกวาดอร์ ไฮติ และกาน่าร์
ไอเดียดีๆ นำมาสู่การสร้างสรรค์สิ่งดีๆ เพื่อสังคม เพื่อโลก
เมื่อได้อ่านเรื่องราวของรองเท้าทั้งสองคู่นี้จบลง มันย้อนมากระตุ้นความเชื่อของตัวเองที่ว่า
ถ้าคุณมีความคิดดีๆ มีความฝันดีๆ ที่มันช่างมีประโยชน์…
ขอให้เชื่อเถอะว่า บนโลกกลมๆ ใบนี้ จะยังมีพื้นที่ว่างให้คุณได้ลงมือปั้นความคิดความฝัน ทำให้มันกลายเป็นความจริง
ขอเพียงแค่ คุณอย่าเอาแต่เก็บงำความคิดความฝันไว้อย่างเปล่าดาย แต่เพียงลำพัง
แต่ต้องเรียนรู้ที่จะจัดการ ก่อร่างสร้างสรรค์ ทำมันให้เกิดขึ้นมา เหมือนอย่างที่สองหนุ่มนี้ได้ลงมือ ลงแรงกาย แรงใจ แรงพยายาม
แม้อาจต้องใช้เวลา อาจต้องใช้ความมานะบากบั่น แต่ขอให้เชื่อเถอะว่า
ถ้ามันเป็นเรื่องที่ดีๆ สักวัน จะมีคนที่มองเห็นในความดี แลเห็นในความงาม แบบเดียวกับที่คุณเห็น และเมื่อถึงวันนั้น พวกเขาจะเดินทางมาลงมือลงแรง ช่วยกันสนับสนุน ช่วยกันบอกต่อๆ เรื่องราวกันไป เฉกดั่งเช่นเรื่องเล่าผ่านข้ามทวีปสองเรื่องข้างต้นนี้
ที่กลายเป็นเรื่องราวจุดกำเนิดของแบรนด์รองเท้าสองแบรนด์
ซึ่งได้มีส่วนช่วยเปลี่ยนแปลงบางสิ่งให้กับโลกกลมๆ ใบนี้
สามารถติดตามรับฟัง Marketing Oops! Podcast
ผ่านทางช่องทางต่างๆ ได้ที่