แม้ว่าประเทศไทยจะกำลังเผชิญกับสถานการณ์โรคระบาดรอบใหม่ ที่ทำให้หลายคนคาดว่าจะรุนแรงกว่าครั้งที่ผ่านมา แต่สำหรับในมุมมองของนักลงทุนชาวจีน ประเทศไทยยังมีความพร้อมหลายๆ ด้านต่อการทำธุรกิจ และการควบคุมโรคระบาดในรอบแรกยังช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนชาวจีน
โดย ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (Economic Intelligence Center: EIC) รายงานทิศทางการลงทุนของนักลงทุนจีนในประเทศไทย หลังการระบาด COVID-19 รอบแรก พบว่า นักธุรกิจจีนยังคงมองไทยเป็นประเทศที่น่าใจ และเตรียมเข้ามาลงทุนในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะในกลุ่มนักธุรกอจ SME ที่ปรับกลยุทธ์โดยใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อขยายตลาดในไทย
โดยเชื่อมั่นว่า ประเทศไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพและอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่พร้อมเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงตลาดสู่กลุ่มประเทศในภูมิภาคอาเซียนให้กับจีนในอนาคต ซึ่งนักธุรกิจจีนกำลังปรับโครงสร้างการลงทุนในไทย จากอุตสาหกรรมที่ใช้เงินลงทุนสูงสู่การลงทุนขนาดเล็กลง โดยมุ่งเจาะภาคอุตสาหกรรมบริการและเทคโนโลยี ถือเป็นความท้าทายสำหรับผู้ประกอบการในไทยที่ต้องเผชิญกับคู่แข่งที่มีความได้เปรียบทั้งด้านต้นทุนที่ต่ำกว่าและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า รวมถึงมีประสบการณ์จากตลาดที่แข่งขันสูงในประเทศจีน
จากการจัดทำแบบสอบถามและสัมภาษณ์ผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทจีนขนาดกลางและขนาดใหญ่ ทั้งที่อยู่ในสาธารณรัฐประชาชนจีนและในประเทศไทยจำนวน 170 ราย พบว่า นักลงทุนจีนมากกว่า 2 ใน 3 มีความสนใจที่จะขยายการลงทุนมายังประเทศไทยภายในระยะเวลา 1-2 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ราว 60% เป็นกลุ่มที่ไม่เคยลงทุนหรือทำธุรกิจในประเทศไทยมาก่อน
ซึ่งมองว่าประเทศไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพ อีกทั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่จะสามารถก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางแห่งอาเซียน มีความพร้อมในหลายๆ ด้าน สามารถเชื่อมโยงตลาดประเทศเพื่อนบ้านได้ จากเดิมที่นักลงทุนจีนมองประเทศไทยเป็นเพียงฐานการผลิตเพื่อส่งออกเท่านั้น ที่สำคัญกว่า 66% มีแผนที่จะเพิ่มการลงทุนในประเทศไทย
การศึกษายังพบว่า โครงสร้างการลงทุนของนักลงทุนจีนในประเทศไทยมีทิศทางเปลี่ยนไป จากเดิมที่เน้นลงทุนสูงมากกว่า 1,000 ล้านบาท เช่น อุตสาหกรรมยางล้อรถยนต์และแผงพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นต้น มาสู่การลงทุนที่เล็กลง โดยกว่า 57% สนใจจะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยด้วยมูลค่าต่ำกว่า 500 ล้านบาทต่อโครงการในระยะ 1-2 ปีจากนี้
ทั้งนี้เพราะ บริษัทจีนในกลุ่มธุรกิจ SME ต้องการย้ายฐานการผลิตออกนอกประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากปัญหาสงครามการค้า อีกทั้งต่อยอดห่วงโซ่สายการผลิตให้กับอุตสาหกรรมหลัก (Supply Chain Integration) ซึ่งจะใช้เงินลงทุนในช่วงแรกน้อยลงเพื่อเรียนรู้ตลาดก่อนขยายธุรกิจในอนาคต หากมีโอกาสและมีทิศทางการเติบโตที่ดีขึ้น ซึ่งภาคธุรกิจบริการและเทคโนโลยี กลายเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายของนักธุรกิจจีนที่มีแนวโน้มจะขยายการลงทุนในประเทศไทย
สำหรับการย้ายฐานการผลิตจากจีน ส่วนใหญ่เป็นผลจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ รวมถึงกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยง ลดการพึ่งพิงแหล่งผลิตจากจีนเพียงแหล่งเดียว (China Plus One) นอกจากนี้ศักยภาพของประเทศไทย ทั้งในแง่นโยบาย ภูมิศาสตร์และระบบสาธารณูปโภค ล้วนส่งเสริมให้ประเทศไทยจะสามารถดึงดูดบริษัทจีนเข้ามาลงทุนได้มากขึ้นในอนาคต
ซึ่งการเข้ามาของนักลงทุนจีนจะช่วยก่อให้เกิดการจ้างงาน การถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยี ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ แต่ก็เป็นความท้าทายสำหรับผู้ประกอบการไทยที่ต้องรับมือคู่แข่งที่ได้เปรียบทั้งด้านเงินทุนและเทคโนโลยี รวมถึงประสบการณ์จากประเทศจีน
ผู้ประกอบการไทยจะต้องเตรียมพร้อมธุรกิจเพื่อรับมือกับการแข่งขันที่เข้มข้นมากขึ้น โดยยกระดับกระบวนการผลิตสินค้าด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ตลอดจนหาแนวทางการร่วมเป็นคู่ค้ากับนักลงทุนจีนเพื่อต่อยอดโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ซึ่งผู้ประกอบการไทยมีความได้เปรียบในเรื่องความเข้าใจตลาดผู้บริโภคไทย กฎหมายและข้อบังคับต่างๆ ในประเทศไทย รวมถึงความสามารถจัดหาวัตถุดิบ
อีกทั้งผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีความสามารถด้านภาษาจีน ทำให้มีความรู้ความเข้าใจในวัฒนธรรมจีน ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสจากการเข้ามาของนักลงทุนจีนได้มากยิ่งขึ้น