มันอาจยากที่จะเชื่อว่า Netflix มีอายุก่อตั้งเพียง 23 ปีเท่านั้นในปัจจุบัน เมื่อเทียบกับ size ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ทั้งยังกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงแตะ 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตั้งแต่ที่เข้าสู่วัย 20 ปีแล้ว
ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่างที่ drive ธุรกิจสตรีมมิ่งรายนี้ให้เติบโตเร็วขึ้น หนึ่งในนั้นก็คือ วิกฤตไวรัสการระบาดครั้งใหญ่ที่แทรกซึมในชีวิตประจำวันของเรามาแล้วกว่า 10 เดือน ‘COVD-19’ มีส่วนทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างมาก ทำให้จำนวนสมาชิกสตรีมมิ่งของ Netflix ล่าสุด ในไตรมาส 2/2020 จำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 192.95 ล้านคนใน 190 ประเทศทั่วโลก ในจำนวนนี้เป็นคนอเมริกันถึง 72.9 ล้านคนมากสุดถ้าเทียบกับประเทศอื่น
จำนวนสมาชิกของ Netflix ที่เพิ่มขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงเส้นทางความสำเร็จของแบรนด์นี้ โดยล่าสุด Netflix ได้แถลงเปิดตัว ‘ภาพยนตร์สารคดีไทย Hope Frozen : A Quest To Live Twice’ (ความหวังแช่แข็ง : ขอเกิดอีกครั้ง) โดยคุณไพลิน วีเด็ล ซึ่งก่อนหน้านี้ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ มีโอกาสไปจัดฉายในเทศกาลภาพยนตร์กว่า 20 งาน และได้รับรางวัล ‘ภาพยนตร์สารคดีต่างประเทศยอดเยี่ยม’ (Best International Documentary Feature) จากเทศกาล Hot Docs ในประเทศแคนาดา ซึ่งเป็นเทศกาลภาพยนตร์สารคดีที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาเหนือ รวมถึงรางวัลประเภทอื่นอีกมาก
อย่างไรก็ตาม เราต้องอดใจรออีกแปป เพราะสารคดีภาพยนตร์เรื่องนี้จะเข้าสู่แพลตฟอร์มของ Netflix อย่างเป็นทางการในวันที่ 15 ก.ย.นี้
แต่ความน่าสนใจที่อยากจะเล่าให้ฟังเกี่ยวกับ Netflix ก็คือ จุดยืนและแนวทางทางธุรกิจของ Netflix ซึ่งถ้าได้ดูสารคดีเรื่องนี้แล้ว เราก็น่าจะเดาๆ ได้ว่าจุดยืนของ Netflix เป็นอย่างไร แต่วันนี้ คุณอดัม เดล เดโอ รองประธานฝ่ายสารคดีออริจินัล บุคคลสำคัญคนหนึ่งที่ทำหน้าที่ควบคุมดูแลผลงานภาพยนตร์ของ Netflix ได้มาช่วยขยายความคำว่า DNA ความเป็น Netflix เกี่ยวกับสารคดีออริจินัลให้กระจ่างขึ้น เพื่อให้รู้ว่าจริงๆ แล้วมันเป็นยังไง มีวิธีการคิดและกระบวนการอย่างไร ทำไม Netflix ถึงให้ความสำคัญกับภาพยนตร์สารคดีมากขึ้น
คุณอดัม ได้พูดว่า “Netflix ถือว่าเป็นรายแรกๆ ในอุตสาหกรรมวิดีโอสตรีมมิ่งที่ให้ความสำคัญกับภาพยนตร์สารคดี ซึ่งเรามองว่าคำจำกัดความของ ‘สารคดี’ มันเปลี่ยนไปแล้ว กลายมาเป็นความสนุก ความบันเทิง ที่ไม่ใช่ความน่าเบื่อ ไม่ใช่คอนเทนต์ที่ตึงเครียดอีกต่อไป”
DNA ของ Netflix คืออะไร?
คุณอดัม อธิบายว่า DNA’s Netflix หากพูดง่ายๆ ก็คือ ต้องการให้คอนเทนต์มีความโดดเด่น แตกต่างจากรายอื่นๆ เรามีความทะเยอทะยานที่จะนำเสนอคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ หลากหลาย และครอบคลุมคนทุกกลุ่ม ซึ่งในแต่ละปีจะมีทีมงานของ Netflix ในประเทศต่างๆ เช่น สิงคโปร์ และในลอนดอน ที่จะดูภาพยนตร์เป็นพันๆ เรื่อง แล้วคัดเรื่องที่โดดเด่น และ touching คนดูของ Netflix ที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวที่ mess หรือเฉพาะเจาะจงกลุ่มคนดูก็ตาม
ตัวอย่างเช่น Tiger King และ The Last Dance ที่เป็นเรื่องราวของ Michael Jordan ก็เป็นอีก 2 เรื่องราวสารคดีออริจินัลที่ได้รับความสนใจมาก แม้แต่ภาพยนตร์สารคดีเรื่อง What Happened, Miss Simone? ในปี 2015 ก็ได้รับผลตอบรับดีเกินคาดไม่ต่างกัน
ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นคอนเทนต์เรื่องที่เข้าถึงคนดูง่ายๆ หรือเจาะกลุ่มเป้าหมาย มองว่ามีความสำคัญมากพอๆ กัน และ Netflix ต้องการที่จะ balance เรื่องราวเหล่านี้สู่สายตาครอบครัวของ Netflix กว่า 190 ประเทศทั่วโลก เพื่อให้รู้และเข้าใจว่าอีกมุมหนึ่งของโลกใบนี้มีอะไรเกิดขึ้น มีความเคลื่อนไหวอย่างไร และมีอะไรที่น่าสนใจซ่อนอยู่อีกมาก
อย่างเรื่องล่าสุดนี้ ภาพยนตร์สารคดีของไทยที่คุณไพลิน กำกับได้มุ่งเสนอประเด็นไปที่เรื่องราวของความหวัง ความศรัทธา และมุมมองความเชื่อในสังคมเอเชีย ซึ่งอีกหลายประเทศทั่วโลกจะได้เข้าใจความคิดเกี่ยวกับสังคมเอเชียมากขึ้นจากเรื่องนี้
‘ภาพยนตร์สารคดี’ สไตล์ Netflix ต้องเป็นอย่างไร?
หลายปีมานี้ Netflix ทุ่มแรงกายแรงใจให้กับภาพยนตร์สารคดีมากขึ้น หลังจากที่เริ่มเห็นการเติบโตมากขึ้นตั้งแต่ปี 2013 โดยสารคดีออริจินัล เป็นหนึ่งในคอนเทนต์ที่จะสร้างความแตกต่างจากสตรีมมิ่งอื่นๆ ได้ดี เพราะยังไม่มีใครทำแบบนี้พูดได้ว่า Netflix เป็นผู้บุกเบิกทำคอนเทนต์ลักษณะนี้ก็ว่าได้
ส่วนการสนับสนุนภาพยนตร์สารคดีของ Netflix เรามี resource ช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นด้านงบลงทุน, ฝ่ายตัดต่อ หรือทีมงานคุณภาพเฉพาะด้านอื่นๆ ก็เพื่อต้องการยกระดับ สารคดีออริจินัลให้มีความเป็น global มากขึ้น
“เรื่องราวของภาพยนตร์สารคดีที่จะเข้ามาอยู่ในแพลตฟอร์มของ Netflix จะต้องเป็นเรื่องที่สร้าง topic ให้คนพูดคุยกันต่อไป ทำให้คิด วิเคราะห์ พิจารณาต่อไป สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญมากสำหรับภาพยนตร์สารคดี และที่ลืมไม่ได้ก็คือ มุมการเล่าเรื่องราวในเชิงความบันเทิงต้องให้เกิดความสนุกนานในการรับชมด้วย” ทาง Netflix กล่าวเพิ่ม
ทั้งนี้ กลยุทธ์ในการเลือกคอนเทนต์ในแต่ละเรื่องที่เป็นภาพยนตร์สารคดี Netflix มองว่า ที่ผ่านมาคนดูชอบแบบไหน เรื่องแนวไหนที่ประสบความสำเร็จ เช่น Chef’s Table ถือว่าเป็นโทนเรื่องที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นจากประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ หรือไม่ใช่ภาษาอังกฤษก็ตาม ซึ่งพูดได้ว่า Chef’s Table ทำให้เรารู้จักคนดูมากขึ้นว่า ภาพยนตร์สารคดี ก็เป็นอีกหนึ่ง category ที่คนชื่นชอบ
คุณอดัม ย้ำถึงกลยุทธ์ของ Netflix ง่ายๆ ก็คือ การหาคอนเทนต์ดีๆ ที่เป็น best in class ขึ้นสู่แพลตฟอร์ม และหาคนเสียงดีๆ เพื่อพากย์เสียง ซึ่งเรามีฟีเจอร์พากย์เสียงรองรับคนดูทั่วโลก อย่างเรื่องนี้ Hope Frozen : A Quest To Live Twice ที่มีแปลภาษาทั้งหมด 31 ภาษา และเสียงพากย์ 10 ภาษาด้วยกัน
“ที่สำคัญที่เป็นจุดแข็งนอกเหนือจากคอนเทนต์ ฟีเจอร์แปลและพากย์ภาษาต่างประเทศ Netflix สามารถทำให้ภาพยนตร์สารคดี กลายเป็นภาพยนตร์ที่สร้างความบันเทิงได้ ได้ความรู้และสนุกไปกันมันได้”
“ขณะที่มีแผนว่า ในแต่ละปีจะปล่อยสารคดีออริจินัลเพิ่มขึ้น อย่างปีนี้ก็วางเอาไว้อยู่ที่ 40 เรื่อง ส่วนปีอื่นๆ ต้องรอดูอัตราการเติบโตซึ่งที่ผ่านมาก็โตเพิ่มขึ้นทุกปี รวมไปถึงการแปลภาษาและพากย์เสียงก็จะเป็นภาษาต่างประเทศมากขึ้นด้วยเช่นกัน” รองประธานฝ่ายสารคดีออริจินัล กล่าวไว้
เห็น Netflix พูดแบบนี้แล้วสงสัยเทรนด์ภาพยนตร์ที่กำลังมาแรงอีกแนวทางหนึ่ง ก็คงเป็นสารคดีแน่ๆ ซึ่ง vision ที่ต้องการล้างภาพสารคดีใหม่ reset ให้เป็นเรื่องที่น่าสนใจและสนุกมากขึ้น เป็นแนวคิดที่น่าสนใจทีเดียว เพราะที่ผ่านมาคนไม่ค่อยดูสารคดีกันก็คงเพราะมันน่าเบื่อ ดูไปหาวไปนั่นหละ!
ข้อมูลเพิ่มเติม : statista
