ในช่วงที่สภาพเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นจากผลกระทบที่ผ่านมา ส่งผลให้การลงทุนหลายอย่างต้องหยุดชะงัก ไม่เว้นแม้แต่การฝากเงินออมเพื่อผลกำไรจากดอกเบี้ยเงินฝากก็ดูจะเป้นไปไม่ได้ หลายการลงทุนต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูงและต้องรอบคอบอย่างมาก เพราะการลงทุนในช่วงเวลานี้ถือเป็นความเสี่ยงที่อาจนำไปสู่ภาวะขาดทุนได้
แต่ก็มีหลายธุรกิจที่สามารถรอดสร้างกำไรในช่วงเวลาที่ยากต่อการคาดการณ์ หนึ่งในนั้นคือการทำธุรกิจ “เฟรนไชส์ (Franchise)” ที่ส่วนหนึ่งมีแบรนด์หลักช่วยในการวางแผนการตลาด รวมถึงการส่งเสริมการขาย และยังมั่นใจในสินค้าและบริการที่แบรนด์หลักจะเข้สมาช่วยดูแลซัพพอร์ทให้ ยิ่งไปกว่านั้นแบรนด์ยังช่วยให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งความสำคัญของการลงทุนธุรกิจเฟรนไชส์คืองบประมาณในการลงทุน ความหลากหลายของสินค้า ชื่อเสียงของแบรนด์และผลตอบแทนที่คุ้มค่า
โดย คุณวิลาวรรณ ฤกษ์เกรียงไกร กรรมการผู้จัดการใหญ่ ออฟฟิศเมท พลัส ชี้ว่า เศรษฐกิจของไทยขับเคลื่อนได้ด้วย 2 ภาคธุรกิจเป็นส่วนใหญ่ ทั้งในภาคธุรกิจการส่งออกและภาคธุรกิจการท่องเที่ยว ซึ่งที่ผ่านมาภาคธุรกิจการท่องเที่ยวนำเม็ดเงินเข้าประเทศเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อเกิดสถานการณ์โรคระบาดภาคธุรกิจการท่องเที่ยวก็ต้องหยุดชะงัก คงเหลือแต่ภาคธุรกิจส่งออกที่ยังสร้างรายได้ให้กับประเทศ
สำหรับภาคธุรกิจการส่งออกก็จำเป็นต้องพึ่งพาธุรกิจภาคการผลิตหรือพูดง่ายๆ ว่า โรงงานผลิตยังต้องทำงานต่อไป ซึ่งจะมีอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้บางอย่างที่จำเป็นต้องใช้ทุกวัน และการหาซื้ออุปกรณ์เหล่านั้นเป็นเรื่องยากลำบาก บางโรงงานต้องใช้วิธีสั่งซื้อจากกรุงเทพฯ หรือข้ามจังหวัด และ OfficeMate ก็เห็น Pain Point ในจุดนี้ โมเดลธุรกิจเฟรนไชส์ (Franchise) จึงเกิดขึ้น ภายใต้ชื่อ “ออฟฟิศเมท พลัส (OfficeMate Plus+)”
“เพราะเราเห็น Pain Point ในจุดนี้ เราจึงขยายผลิตภัณฑ์ของเราไปในกลุ่มสินค้าโรงงาน (Factory) เชื่อหรือไม่ว่าสินค้าที่เหมือนกันแตกต่างกันแค่รายละเอียดนิดหน่อยก็ต้องเปลี่ยน Supplier เช่น ถุงมือที่ใช้ในโรงงานขนาดและสีที่แตกต่างกันต้องใช้ Supplier ที่แตกต่างกัน ซึ่งธุรกิจเฟรนไชส์ (Franchise) จะช่วยให้ธุรกิจสามารถหาสินค้าใกล้โรงงานได้ และด้วย ecosystem ของ OfficeMate ช่วยให้สามารถส่งสินค้าได้ถูกต้องและรวดเร็ว” คุณวิลาวรรณ
สำหรับธุรกิจออฟฟิศเมทพลัสจะแบ่งโมเดลธุรกิจออกเป็น 2 ขนาด ทั้งแบบ Compact Size ขนาดพื้นที่ 40-60 ตารางเมตร รองรับสินค้าได้มากกว่า 2,500 รายการ สามารถเริ่มต้นด้วยเงินลงทุนเพียง 2.9-3.9 ล้านบาท และแบบ Standard Size ขนาดพื้นที่ 80-120 ตารางเมตร รองรับสินค้าได้มากกว่า 4,000 รายการ สามารถเริ่มต้นด้วยเงินลงทุนเพียง 4.6-5.9 ล้านบาท
“ที่ผ่านมาสินค้าอุปกรณ์เครื่องใช้สำนักงาน (Stationary) มีสัดส่วนที่ลดลง เราจึงมีการเพิ่มกลุ่มสินค้าให้หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่ม Safty&Factory Supplies, กลุ่ม Horeca Equipment&Supplies และ Hygienic&Wellness ที่มีอัตราการเติบโตสูงขึ้น และในอนาคตอาจมีการเสริมกลุ่ม Medical ลงไปใน Hygienic เช่น หน้ากากอนามัย เจลล้างมือได้” คุณวิลาวรรณ
ด้วยระบบหลังบ้านที่มีการพัฒนาเต็มรูปแบบช่วยให้เฟรนไชส์ไม่จำเป็นต้องสต็อกสินค้า ไม่จำเป็นต้องดำเนินการจัดส่งด้วยตัวเอง แค่เพียงรับออเดอร์และจัดส่งให้ทางออฟฟิศเมท ระบบจะดำเนินการจัดส่งสินค้าถึงมือลูกค้าภายในวันถัดไปได้ทันที นอกจากนี้ออฟฟิศเมทยังช่วยโปรโมท รวมถึงจัดโปรโมชั่นเพื่อส่งเสริมการขายให้กับเฟรนไชส์อีกด้วย
ที่สำคัญยังมีช่องทางการขายแบบ OmniChannel ไม่ว่าจะเป็นช่องทางการขายผ่านออนไลน์อย่าง Chat & Shop บน Facebook Page และ Line Official Account ของแฟรนไชส์เอง ออฟฟิศเมทยังจัดให้มีการให้คำแนะนำและฝึกอบรมพนักงานขายแบบ B2B Direct Sales ให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการขายผ่านทุกช่องทาง โดยแฟรนไชส์สามารถสร้างรายได้ปีแรกเฉลี่ย 500,000 – 1,000,000 บาทต่อเดือน (ขึ้นอยู่กับประสบการณ์การขาย) และหากมีทีมขายมีความเชี่ยวชาญจะสามารถสร้างรายได้สูงเพิ่มขึ้นอีก 30%
“ปัจจุบันเรามีสาขาเฟรนไชส์ทั้งสิ้น 6 สาขา คาดว่าสิ้นปีนี้จะสาขาทั้งสิ้น 13 สาขา โดยส่วนใหญ่เฟรนไชส์จะเลือกลงทุนธุรกิจในขนาด Standard Size เนื่องจากช่วยให้มีความหลากหลายของสินค้า และช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการ ซึ่งนักธุรกิจที่ต้องสมัครเฟรนไชส์จะต้องส่งรายละเอียดเข้ามาให้ทางออฟฟิศเมทพิจารณา จากนั้นจะมีการเรียกสัมภาษณ์เพื่อเรียนรู้ทัศนคติในการขายสินค้า ก่อนจะมีการตัดสินใจอนุญาตให้ลงทุนธุรกิจเฟรนไชส์ได้ เราตั้งเป้าหมายไว้ในปี 2568 จะมีร้านเฟรนไชส์ 150 สาขาครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ” คุณวิลาวรรณ
ติดต่อที่ปรึกษาแฟรนไชส์ โทร 1281 กด 6 หรือ 065-998-2988 หรือพูดคุยทาง Line: @OFM_Plus