การแพร่กระจายของ COVID-19 กำลัลุกลามไปในพื้นที่ทั่วโลก โดยเฉพาะในแถบซีกโลกตะวันตกทั้งยุโรปและอเมริกา แม้แต่ในภูมิภาคเอเชียที่ว่ากันว่า เมื่อเข้าสู่ฤดูร้อน COVID-19 จะแพร่กระจายได้น้อยลงเนื่องจากอากาศที่ร้อนทำให้ช่วงชีวิตของเชื้อไวรัสสั้นลง แต่ดูเหมือนการแพร่ระบาดจะยังคงอยู่ในระดับที่น่ากังวล
ในหลายประเทศในภูมิภาคอาเซียนก็ยังเป็นที่น่าจับตาทั้งไทย มาเลเซียและอินโดนีเซีย ทั้งที่เป็นประเทศเขตร้อนใกล้เส้นศูนย์สูตร รวมถึงประเทศมหาอำนาจอย่างญี่ปุ่นที่ดูเหมือนอัตราการแพร่กระจายจะเริ่มทำให้หลายฝ่ายในญี่ปุ่นเรียกร้องให้รัฐบาลญี่ปุ่นออกมาตรการปิดประเทศ Lockdown ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นชี้ว่า ยังเร็วไปที่จะใช้มาตรการดังกล่าว
ขณะที่หลายประเทศในยุโรปเริ่มใช้มาตรการด้านเทคโนโลยีในการติดตามผู้คน แม้จะไม่มีการเปิดระบบ GPS ก็ตามโดยหลายประเทศในยุโรปใช้วิธีการติดตามผ่านระบบเครือข่ายโทรศัพท์ โดยสามารถตรวจสอบจากจุดที่รับสัญญาณโทรศัพท์ก็จะทราบตำแหน่งพิกัดของเบอร์โทรศัพท์นั้น และยังสามารถตรวจสอบได้ว่าคนนั้นคือได้จากข้อมูลเบอร์โทรศัพท์
เช่น สามารถค้นหาได้ว่าใครเดิทางไปในตลาดบ้าง เป็นต้น ทั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและผู้ให้บริการเครือข่าย ซึ่งเป็นผลมาจากการระบาด COVID-19 อย่างรุนแรงในยุโรป ขณะที่ในสิงคโปร์ใช้เทคนิคการตรวจจับคลื่นสัญญาณบลูธูท (Bluetooth) ซึ่งมาจากการได้รับอนุญาตจากเจ้าของเครื่องในการเข้าถึงระบบบลูธูทตอนติดตั้งแอปพลิเคชัน อีกทั้งที่สิงคโปร์นิยมระบบการเชื่อมต่ออุปกรณ์ไร้สายผ่านบลูธูท
ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ว่า พื้นที่เสี่ยงมีการใช้งานบลูธูทมากเท่าไหร่ โดยจะมีการถอดรหัสสัญญาณบลูธูทเพื่อดูว่าเป็นสัญญาณที่ส่งออกมาจากเรื่องหมายเลขใด แล้วนำไปประสานงานกับผู้ให้บริการในการขอข้อมูลผู้ใช้เพื่อใช้ในการติดตาเฝ้าระวังการแพร่เชื้อ รวมไปถึงการเฝ้าระวังจับตาผู้ที่มีความเสี่ยงไปที่ใดมาบ้าง
ทั้งนี้นักสิทธิมนุษยชนหลายองค์กรทั่วโลกต่างเห็นพ้องว่า การกระทำดังกล่าวโดยภาครัฐถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลและป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่เนื่องจากเป็นช่วงสถานการณ์วิกฤติของโลก นักสิทธิฯ จึงแนะนำให้ภาครัฐต่างๆ พิจารณาการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลเหล่านี้ได้ในส่วนที่จำเป็นและเป็นการชั่วคราวเท่านั้น เพื่อช่วยในการป้องกันการแพร่ระบาด COVID-19
Source: Japan Today