สำหรับคนเมืองอายุ 25-30 ปีขึ้นไป น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักโทรศัพท์มือถือแบรนด์ “โนเกีย (Nokia)” แบรนด์มือถือที่ครองใจผู้ใช้งานทั่วโลกด้วยคุณสมบัติที่หลายคนยังคงประทับใจมาถึงวันนี้ โดยเฉพาะในเรื่องของความ “ทนทาน คุ้มค่า ตอบโจทย์การใช้งาน” ของ Nokia 3310 ที่ในอดีตมีการขายไปได้ถึงกว่าหลายพันล้านเครื่องทั่วโลก ตลอดจนความโดดเด่นในดีไซน์และฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้คนยุคนั้นได้เป็นอย่างดี และเสียง “ริงโทน” ที่เป็นเอกลักษณ์ จนทำให้มือถือแบรนด์โนเกียเข้าไปปรากฏในหนังและซีรีส์ละครทั่วโลกมากกว่า 20,000 เรื่อง
แม้ว่าช่วงเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีของโทรศัพท์มือถือเมื่อประมาณ 5-7 ปีก่อน อาจทำให้มือถือแบรนด์โนเกียมีสะดุดไปบ้าง แต่ปลายปี 2016 หลังจาก “เอชเอ็มดี โกลบอล (HMD Global)” บริษัทสตาร์ทอัพจากประเทศฟินแลนด์ เจ้าของลิขสิทธิ์ในการจัดจำหน่ายสมาร์ทโฟนแบรนด์โนเกียทั่วโลกแต่เพียงผู้เดียว ได้เข้ามาพลิกฟื้นสถานการณ์ ทำให้แบรนด์มือถือโนเกียฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้ง และสามารถก้าวขึ้นมาเป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ระดับ TOP5 ในตลาดหลายแห่งทั่วโลก รวมทั้งยังกลับมาสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้บริโภคคนไทยได้อีกครั้ง โดยเฉพาะปรากฏการณ์การเปิดตัวมือถือใหม่พร้อมกันถึง 5 รุ่น ที่เกิดขึ้นในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมนี้
หวนคืนตลาดพร้อมการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
เพียง 2 ปีกว่าหลังได้รับลิขสิทธิ์ในการจัดจำหน่ายโนเกียสมาร์ทโฟนไปทั่วโลก เอชเอ็มดี โกลบอล สามารถเพิ่มฐานผู้ใช้สมาร์ทโฟนโนเกียเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าเทียบกับปี 2017 และยังสามารถขับเคลื่อนแบรนด์โนเกียจนประสบความสำเร็จด้วยการก้าวขึ้นมาเป็น “ผู้นำ” ด้านฟีเจอร์โฟนระดับโลก ทั้งในแง่ยอดขายและมูลค่ารวม พร้อมกับก้าวสู่ TOP 5 ของแบรนด์สมาร์ทโฟนโลกในหลายๆประเทศ รวมทั้งยังคว้า 31 รางวัลจากเวทีระดับโลกอย่าง Mobile World’s Congress 2019
สำหรับประเทศไทย โนเกียสมาร์ทโฟนเริ่มกลับเข้ามาทำการตลาดอีกครั้งในปี 2017 โดยเริ่มจากเปิดตัว Nokia 3, Nokia 5, Nokia 6 ในงาน Thailand Mobile Expo เดือนพฤษภาคม 2017 จากนั้นก็ทยอยเปิดตัวรุ่นใหม่ๆ เรื่อยมา
คุณธนเดช ช่วงแก้ววิเศษ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เอชเอ็มดี โกลบอล กล่าวว่า การเปิดตัวในงานดังกล่าว สมาร์ทโฟนโนเกียที่มาพร้อม Android One ได้รับความสนใจอย่างมากจากลูกค้าไทย ทำให้สัมผัสได้ถึง “การต้อนรับ” กลับสู่ตลาดอีกครั้ง ซึ่งการกลับมาครั้งนี้ โนเกียสมาร์ทโฟนมาพร้อมคุณสมบัติที่เป็นจุดเด่นของมือถือโนเกียนับตั้งแต่อดีตอย่างครบครัน ทั้งเทคโนโลยีการผลิตชั้นนำ คุณภาพในการใช้งาน วัสดุที่มีความทนทาน แบตเตอรี่ที่อยู่ได้นาน รวมถึงดีไซน์ที่สวยงามและใช้งานง่าย สิ่งเหล่านี้ถือเป็น “DNA” ของแบรนด์ ซึ่งยังคงมีอยู่ในสมาร์ทโฟนและฟีเจอร์โฟนของโนเกียทุกรุ่น
นอกจากการพัฒนาโปรดักส์ การกลับคืนสู่ตลาดสมาร์ทโฟนของโนเกียครั้งนี้ ยังมีความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ซึ่งถือเป็นจุดแข็งสำคัญที่เหนือกว่าคู่แข่งหลายราย ได้แก่ การพาร์ทเนอร์กับกูเกิล และใช้งานระบบปฏิบัติการเพียวแอนดรอยด์ (Pure Android) ซึ่งถือว่าเป็นแอนดรอยด์ที่ดีที่สุดจากกูเกิล ซึ่งมีทั้งประสิทธิภาพและดีไซน์ที่ปราศจาก UI/UX หรือแอปพลิเคชันที่ไม่จำเป็น ทำให้แบตเตอรี่และการประมวลผลไม่ต้องทำงานหนัก และให้อิสระแก่ผู้บริโภคในการที่จะเลือกลงแอปพลิเคชันตามที่ต้องการ
นอกจากนี้ โนเกียสมาร์ทโฟน ยังเข้าร่วมโครงการ Android One จากทางกูเกิลที่มีการรับรองฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ของสมาร์ทโฟนโนเกียว่า สามารถใช้งานระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ได้ดีที่สุด ทำให้สมาร์ทโฟนโนเกียทุกรุ่นรองรับการอัปเกรดระบบปฏิบัติการได้ถึง 2 ปีนับจากวันซื้อเครื่อง และสามารถอัปเดตระบบความปลอดภัยได้ทุกเดือนนานถึง 3 ปี ผู้ใช้โนเกียสมาร์ทโฟน ทุกรุ่น ตั้งแต่ low entry / mid-tier/ flagship จึงสามารถสัมผัสประสบการณ์การใช้งานสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์คุณภาพระดับเดียวกับรุ่น “เรือธง (Flagship)” ได้อย่างเพลิดเพลินและยาวนานยิ่งขึ้น
“เพียวแอนดรอยด์ (Pure Android) ในโครงการ Android One ถือเป็นระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ที่ดีที่สุด ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถใช้งาน Google Services ได้อย่างครบถ้วน ซึ่งแน่นอนว่าในตลาด นอกจากสมาร์ทโฟนแบรนด์โนเกีย และ Google Pixel ซึ่งเป็นเรือธงของกูเกิลที่เป็นเจ้าของระบบปฏิบัติการ ก็ยังมีแบรนด์สมาร์ทโฟนบางรายที่ใช้ Android One แต่มักมีให้เฉพาะรุ่นที่เป็นเรือธง ราคา 2 หมื่นบาทขึ้นไปเท่านั้น เรากล้าพูดว่า ไม่มีแบรนด์ไหนที่ใส่เพียวแอนดรอยด์ (Pure Android) ในโครงการ Android One ให้กับสมาร์ทโฟนทุกเรนจ์ (Range) ครบอย่าง โนเกียสมาร์ทโฟนตั้งแต่ราคาสองพันกว่าๆ จนถึงรุ่นเรือธง
หมายความว่า ถึงคุณจะซื้อสมาร์ทโฟนโนเกียราคาไม่ถึง 3 พันบาท แต่ก็ได้ประสบการณ์ใช้งานระบบปฏิบัติการและฟีเจอร์ต่างๆ ที่อยู่ใน Android One ครบถ้วนเหมือนกัน ยิ่งกว่านั้น ยังได้รับการอัปเกรดความปลอดภัยทุกเดือนเป็นเวลาถึง 3 ปี และได้รับการอัปเกรดระบบปฏิบัติการถึง 2 ปี การันตีได้ว่า เมื่อซื้อสมาร์ทโฟนโนเกีย 1 เครื่อง คุณจะได้อัปเกรดแอนดรอยด์อย่างน้อย 2 เวอร์ชั่น ซึ่งปกติแบรนด์อื่นจะมีแค่รุ่นเรือธง แต่สำหรับโนเกีย สมาร์ทโฟน คุณสมบัตินี้จะเกิดขึ้นกับทุกรุ่นของสมาร์ทโฟนโนเกียที่ใช้แอนดรอยด์ตั้งแต่รุ่นเล็กจนถึงรุ่นเรือธง”
คุณธนเดชเล่าว่า แนวคิดดังกล่าวเกิดจากเจตนารมณ์ของแบรนด์ที่ต้องการแก้จุดเจ็บปวด (Pain Point) ให้กับผู้บริโภค ที่บ่อยครั้งหลังจากซื้อสมาร์ทโฟนใหม่ได้เพียงไม่นาน ปรากฏว่าอีกไม่กี่เดือน ก็มีออกรุ่นใหม่มา แล้วไม่นาน รุ่นเก่าที่อยู่ในตลาดก็ไม่สามารถอัปเกรดระบบปฏิบัติการเพื่อใช้ฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่มากับเวอร์ชั่นใหม่ได้ ทำให้หลายคนมักจบลงด้วยการเปลี่ยนเครื่องใหม่ไปเรื่อยๆ
ประสบการณ์ใช้งานโนเกียสมาร์ทโฟน…“ยิ่งใช้ ยิ่งดีขึ้นทุกวัน”
ปลายปีที่ผ่านมา Nokia 7 Plus ถือเป็นหนึ่งในแบรนด์มือถือรายแรกๆในไทย และเป็นประเทศแรกที่ผู้ใช้งาน Nokia 7 Plus สามารถอัปเกรดระบบปฏิบัติการสู่ Android 9 Pie ซึ่งถือว่ารุดหน้ากว่าแบรนด์อื่นในอุตสาหกรรมเดียวกันถึง 2 เท่า และเป็นการตอกย้ำการเป็นผู้นำในการสร้างประสบการณ์การใช้งานสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ที่มาพร้อมระบบปฏิบัติการที่ทันสมัยด้วยการอัปเดตได้อย่างต่อเนื่องถึง 2 ปี เพื่อให้ผู้ใช้สมาร์ทโฟนโนเกียเกิดความรู้สึกว่า “ยิ่งใช้ ยิ่งดีขึ้นทุกวัน” อันเป็นเป้าหมายและจุดยืนของเอชเอ็มดี โกลบอล
คุณธนเดชอธิบายว่า Android 9 Pie เป็นซอฟต์แวร์รุ่นใหม่จาก Google โดยมีจุดเด่นอยู่ที่เทคโนโลยี AI และ Machine Learning ยิ่งถ้าผู้ใช้งานมีการใช้งานสมาร์ทโฟนบ่อยๆ ระบบจะทำการเรียนรู้ข้อมูลพฤติกรรมการใช้งาน เพื่อประมวลผลออกมา เป็นการส่งมอบประสบการณ์ใช้งานที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ส่วนบุคคลของผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้นได้ เช่น การคาดการณ์ว่าจะใช้งานแอปฯ อะไรต่อไป หรือการปรับความสว่างหน้าจออัตโนมัติ โดยเรียนรู้จากการตั้งค่าและการปรับเปลี่ยนจากการใช้งานจริงของผู้ใช้ในทุกๆ วัน ซึ่งยืดอายุระยะการใช้งานของแบตเตอรี่ให้นานขึ้นได้ ฯลฯ
ปัจจุบัน สมาร์ทโฟนโนเกียในประเทศไทยมีถึง 16 รุ่น ที่รองรับระบบปฏิบัติการ Android 9 Pie แล้ว อาทิ Nokia 9 PureView, Nokia 8.1, Nokia 8, Nokia 7 Plus, Nokia 6.1, Nokia 6.1 Plus, Nokia 6, Nokia 5, Nokia 5.1 Plus, Nokia 3.1, Nokia 3, Nokia 2.1, และ Nokia 1 อีกทั้งสมาร์ทโฟนโนเกียแต่ละรุ่นยังได้รับการพัฒนาให้มีระบบ AI ที่โดดเด่น อาทิ นวัตกรรมการสั่งการด้วยเสียง (Google Assistant) ระบบ AI การถ่ายภาพ และระบบความปลอดภัยรุ่นล่าสุดจาก Google Play Protect ที่ติดตั้งมาพร้อมกับตัวเครื่อง และรุ่นใหม่อย่าง Nokia 3.2, Nokia 4.2, Nokia 2.2 ที่ได้เปิดตัวเพิ่มในปีนี้มาพร้อม ระบบปฏิบัติ Android 9 Pie และรองรับการอัปเกรดระบบปฏิบัติการในอีก 2 ปีข้างหน้า
ขณะที่ลูกค้าสมาร์ทโฟนโนเกียรุ่นแรกที่เปิดตัวเมื่อปี 2017 อย่าง Nokia 3, Nokia 5, Nokia 6 ยังสามารถอัปเกรดระบบปฏิบัติการเป็น Android 9 Pie เพื่อสนุกกับการใช้งานเทคโนโลยี AI และฟีเจอร์ต่างๆ ของ Google Services และ Google Assistant ได้
“ยิ่งสถานการณ์ปัจจุบัน ทำให้ผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนเริ่มหันมาสนใจมากขึ้นว่า ถ้าซื้อสมาร์ทโฟนรุ่นนี้แบรนด์นี้จะสามารถอัปเกรดความปลอดภัย และระบบปฏิบัติการได้หรือไม่ คนเริ่มรู้สึกว่าถ้าซื้อสมาร์ทโฟนใหม่ ก็อยากใช้ไปนานๆ นี่จึงเป็นโอกาสของโนเกียสมาร์ทโฟน ที่จะมาตอบโจทย์ลูกค้า ซึ่งจริงๆ สิ่งนี้เป็นเทรนด์ที่เราให้ความสำคัญและพูดมานานแล้ว และก็ทำได้จริงๆ ด้วยการใช้ เพียวแอนดรอยด์ (Pure Android) ในโครงการ Android One ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ที่ดีที่สุดและทันสมัยใหม่ที่สุดด้วยความสามารถในการอัปเกรด โดยเราทำมาตั้งแต่ต้นและใส่ให้กับสมาร์ทโฟนโนเกียทุกรุ่นทุกเรนจ์ (Range)”
คุณธนเดชย้ำถึงปรัชญาของบริษัทในการทำแบรนด์มือถือโนเกีย ที่ต้องการเป็น Top of Mind ในฐานะ คอนซูเมอร์ แบรนด์ ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานทุกคน ภายใต้กรอบแนวคิดที่เชื่อว่า “เทคโนโลยีที่ทันสมัยสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคนได้” และ “ประสบการณ์ใช้งานสมาร์ทโฟนที่ดีควรเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้” นี่จึงเป็นที่มาว่า แม้สมาร์ทโฟนโนเกียราคาไม่กี่พันบาทก็สามารถสร้างประสบการณ์การใช้งานสมาร์ทโฟนโนเกียที่ “ยิ่งใช้ ยิ่งดีขึ้นทุกวัน” ได้เหมือนกับรุ่นเรือธงของหลายๆ แบรนด์
เปิดตัวครั้งใหญ่ พร้อม “สมาร์ทโฟนกล้องหลัง 5 ตัว” รุ่นแรกของโลก
ในปี 2018 ยอดขายของสมาร์ทโฟนโนเกียทั่วโลกเติบโตถึง 3 เท่าเทียบกับปี 2017 โดยในช่วง 2 ปีนี้ เรียกได้ว่า พอร์ตสินค้าของโนเกียมีสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่เข้ามาเติมเฉลี่ยอย่างน้อยเดือนละ 1 รุ่น ปัจจุบันมีตั้งแต่ซีรีส์ 1-8 และมีการออกเจน (Gen) ใหม่ในแต่ละซีรีส์ มาแล้ว 2-3 เจนในแต่ละซีรีส์ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าทุกเซ็กเมนต์
ทั้งนี้ Nokia 7 Plus และ Nokia 8 ถือเป็นรุ่นเรือธง (Flagship) ของแบรนด์ ซึ่งนำเสนอประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้นด้วยนวัตกรรมและฮาร์ดแวร์ที่มีประสิทธิภาพและสมรรถนะสูง เช่น ประสบการณ์ถ่ายภาพเหนือระดับด้วย ZEISS Optics เลนส์กล้องชั้นนำจากประเทศเยอรมัน
“ช่วงต้นเดือนกรกฎาคม เราจะเริ่มเปิดตัวซีรีส์ใหม่ คือ Nokia 9 PureView เป็นรุ่นเรือธงรุ่นล่าสุด และถือเป็นครั้งแรกของโลกที่สมาร์ทโฟนจะมีกล้องหลังถึง 5 กล้อง มาพร้อมเลนส์ จาก Zeiss Optics และเทคโนโลยี Computational Imaging รุ่นใหม่ล่าสุด ให้ได้ภาพที่คมชัดทุกสภาพแสง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพนิ่งและวิดีโอระดับมือโปร สามารถถ่ายภาพนิ่งได้ลึกถึง 1,200 Layers ถือว่าเยอะที่สุดเท่าที่มือถือจะทำได้ และสามารถถ่ายเป็น Raw File เรียกได้ว่า นี่คือที่สุดของการถ่ายภาพด้วยสมาร์ทโฟน”
ไม่เพียง Nokia 9 PureView สมาร์ทโฟนที่มาพร้อมกล้องหลัง 5 ตัวครั้งแรกของโลก ซึ่งถือเป็นไฮไลท์แรกของการเปิดตัวในเดือนกรกฎาคมนี้ งานเดียวกันยังจะมีการเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่อีก 4 รุ่นด้วยกัน ประกอบด้วย Nokia 2.2, Nokia 3.2 และNokia 4.2 รวมถึง Nokia 8.1 (6/128) ซึ่งเมื่อต้นปีนี้ เรานำ Nokia 8.1 (4/64) เข้ามาทำตลาดในประเทศและทำปรากฏการณ์ในการขายหมดในวันเดียว ผ่านช่องทางออนไลน์ของ Shopee ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า คนไทยยังให้การตอบรับกับแบรนด์มือถือโนเกียเป็นอย่างดี โดยรุ่นใหม่ที่นำเข้ามาจะมีหน่วยความจำและความเร็วในการประมวลผลเพิ่มขึ้นเพื่อความจุใจในการใช้งานที่มากขึ้น
และตั้งแต่ Nokia 2.2 Nokia 3.2 และ Nokia 4.2 เป็นต้นไป สมาร์ทโฟนโนเกียจะมาพร้อมกับปุ่มเรียกใช้งาน Google Assistant เพื่อความสะดวกในการเข้าถึงระบบการช่วยเหลือจากกูเกิลได้ทันที ซึ่งจะเปลี่ยนประสบการณ์ใช้งานสมาร์ทโฟนให้ง่ายยิ่งขึ้น ด้วยการ กดครั้งเดียว ก็สามารถเรียกใช้งาน “ผู้ช่วยอัจฉริยะ (Google Assistant)” ให้ช่วยค้นหาเส้นทาง ฟังเพลง สั่งโทรออก และหาข้อมูลออนไลน์ได้ทุกวัน กดสองครั้ง เพื่อเรียกดูหน้าจอแสดงผลที่แสดงไฮไลท์กิจกรรมประจำวัน พร้อมคำแนะนำอัจฉริยะ และข้อมูลการใช้งานส่วนตัว รวมถึงข้อมูลสำคัญต่างๆ ที่ตั้งเตือนไว้ เช่น ตารางนัดประชุม ฯลฯ หรือ กดค้างไว้ เพื่อเข้าสู่โหมด สำหรับถามคำถามยาวกับ AI เป็นต้น อีกทั้งยังมีปุ่ม Notification Light สำหรับแจ้งเตือนเวลามีสายเข้าหรือสายที่ไม่ได้รับ
“เราเป็นแบรนด์แรกหลังจาก Google Pixel ที่มีปุ่มนี้ (Google Assistant) และมีฟังก์ชั่นใช้งานอย่างเต็มรูปแบบ ของ Google Assistant เพราะเรามองว่าถ้าลูกค้ามีปุ่มนี้ชีวิตจะง่ายขึ้น และต่อไปเทรนด์ในการค้นหาข้อมูล (Search) จะเปลี่ยนจากการพิมพ์เป็นพูด (Voice) มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกูเกิลรับคำสั่งภาษาไทยได้ ซึ่งนี่จะช่วยให้ประสบการณ์การใช้งานของลูกค้าดีขึ้น”
คุณธนเดชกล่าวว่า การเปิดตัวพร้อมกันถึง 5 รุ่นในเดือนกรกฎาคมนี้ เป็นการบอกป็นนัยกับลูกค้าว่า วันนี้ โนเกียมีสมาร์ทโฟน แอนดรอยด์ให้เลือกตั้งแต่ตลาดระดับล่าง (Low-entry) อย่าง Nokia 2.2 ตลาดระดับกลาง Nokia 3.2 และ Nokia 4.2 ไปจนถึงรุ่นเรือธง (Flagship) อย่าง Nokia 8.1 และ Nokia 9 PureView โดยหัวใจสำคัญคือ ไม่ว่าจะเป็นรุ่น Low-entry หรือรุ่นเรือธง ผู้ใช้งานจะได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีด้วยฟีเจอร์ AI ที่ครบครัน เหมือนกันหมดทุกรุ่น
“ความเสี่ยงที่ลูกค้าจะเลิกใช้สมาร์ทโฟนแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งนั้น มาจากสาเหตุไม่กี่อย่าง คุณภาพ การอัปเกรด และการมองหาอะไรใหม่ๆ นี่คือหัวใจหลักที่ลูกค้าซื้อสมาร์ทโฟน เรามีความมุ่งมั่นในการเป็นแบรนด์สำหรับทุกคน และพยายามเป็นเจ้าแรกในการส่งมอบประสบการณ์ใช้งานเหล่านั้นให้ลูกค้าด้วยการเตรียมพร้อมรองรับกับเทรนด์อนาคต และที่สำคัญคือ การเป็น “ผู้นำ” ในแง่ความมุ่งมั่นในการอัปเกรดให้ลูกค้า ทั้งการอัปเกรดระบบปฏิบัติการในช่วง 2 ปีและอัปเกรดความปลอดภัยตลอด 3 ปี” ผู้บริหารหนุ่มทิ้งท้าย