โอ๊ย!! เวียนหัวจะเป็นลม ..ทำไมสินค้าบางอย่างทุ่มทุนทำการตลาดตั้งมากมาย สุดท้ายรายได้ก็ยังไปไม่ถึงไหน แต่บางแบรนด์อยู่เงียบๆ ทำการตลาดเรียบๆ กลับขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ว่าแล้วก็ขอดมยาทาถูแล้วไปหายาหอมยาอมมาทานดีกว่า
เปิดพอร์ตสินทรัพย์ รายได้ และกำไรของ4 แบรนด์ดังในธุรกิจ “ยาประจำบ้าน” ที่โด่งดังจากภูมิปัญญาไทย
ทั้ง 4 แบรนด์นี้ถือเป็นแบรนด์เก่าแก่และเป็นสินค้าที่ผูกพันกับวิถีชีวิตคนไทย โดยสินค้าเหล่านี้ ทั้งยาหอม ยาอม ยาลม ยาหม่อง อาจจะเคยได้รับความนิยมอย่างสูงในเมืองไทยในช่วงเวลาหนึ่ง และแม้ช่วงหลังอาจจะไม่ได้อยู่ในกระแสความสนใจของคนไทย แต่ก็มีหลายครอบครัวที่ยังคงใช้หรือมีติดบ้านไว้อยู่ จึงทำให้กิจการยังคงอยู่มาได้เรื่อยๆ
แต่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ช่วงหลัง สินค้าเหล่านี้กลับมาเป็นที่นิยมจนมีวางขายอย่างแพร่หลายตามร้านค้าโมเดิร์นเทรดยุคใหม่ รวมถึงมีโพสต์ขายมากมายตามช่องทางออนไลน์ มาจากความนิยมของลูกค้าต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีน จนเรียกได้ว่า เป็นสินค้าของที่ระลึกของฝากสุดฮิตที่คนจีนมักแย่งกันซื้อติดไม้ติดมือกลับประเทศ ซึ่งต้องยอมรับว่าด้วยพลังการซื้อของคนจีน ก็ทำให้บริษัทเหล่านี้มีรายได้เติบโตอย่างน่าสนใจ
ยาหอมตรา 5 เจดีย์ … ยาดีคนไทย ถูกใจต่างชาติ

นับเป็นบริษัทที่เงียบมาก ทั้งข่าวคราวการตลาด รวมถึงข่าวของบริษัทและผู้บริหารบริษัท (ไม่นับข่าวสังคมที่มีออกมาบ้างประปราย) กระทั่งเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ที่มีกระแสข่าวว่าศุลกากรประเทศเนเธอร์แลนด์ห้ามนำยาหอม “ตรา 5 เจดีย์” เข้าประเทศ เนื่องจากมีส่วนผสมของ “พืชต้องห้าม”
คุณสุรสีห์ เฮงสกุล กรรมการผู้จัดการของบริษัท 5 พระเจดีย์โอสถ จำกัดจึงออกมาแถลงข้อเท็จจริงว่า ยาหอมตรา 5 เจดีย์ ผลิตด้วยสมุนไพรที่มีประโยชน์ทั้งสิ้น และประเทศเนเธอร์แลนด์ไม่ได้ห้ามนำยาหอมเข้า เพียงแต่ต้องมีเอกสารรับรอง เนื่องจากยาหอมมีสมุนไพรที่ชื่อ “โกฐกระดูก” ซึ่งอยู่ในรายการพืชควบคุมเพราะใกล้สูญพันธุ์ ซึ่งอดีตสมุนไพรตัวนี้เป็นพืชที่เกิดเองตามธรรมชาติ แต่ปัจจุบันมีการเพาะปลูกได้
ตามข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าระบุว่า จดทะเบียนจัดตั้งตั้งแต่ปี 2499 ด้วยทุนจดทะเบียน 27ล้านบาท โดยมี นพ. ประเสริฐ เฮงสกุล และภรรยา เป็นหัวเรือใหญ่
ด้วยความนิยมของยาหอมตรา 5 เจดีย์ ทำให้ ยาหอมขนาด 25 กรัม ราคาในเมืองไทยประมาณ30 กว่าบาท ถูกโพสต์ขายใน Amazon มีตั้งแต่ 9.99 ดอลล่าร์สหรัฐฯ ไปจนถึงกว่า 20ดอลล่าร์สหรัฐฯ เลยก็มี (เช็ค ณ วันที่ 21มิ.ย. 2562) ปัจจุบัน ยาหอม 5 เจดีย์ ไม่ได้มีเพียงยาหอม ยังมียาหม่องข่าวตรา 5 เจดีย์อีกด้วย
ปัจจุบัน ข้อมูลแบรนด์ “5 เจดีย์” ที่มาจากทางบริษัทมีน้อยมาก ไม่มีแต่เว็ปไซต์และเฟสบุ๊คทางการ (Official) ของบริษัท แม้จะเป็นธุรกิจที่รวยเงียบๆ ไม่มีการตลาดมาก แต่รายได้ก็เฉียด “ร้อยล้าน” เต็มที
อย่างไรก็ดี แม้แบรนด์ “5 เจดีย์” จะเป็นแบรนด์ที่แข็งแรงในตลาด แต่เนื่องจากตลาดนี้มี “ผู้เล่น” หน้าเก่า หน้าใหม่ ไม่น้อย บวกกับมีสินค้าสมัยใหม่ท่ีเข้ามาทดแทนได้ ดังนั้น ถ้าหากไม่มีการปรับภาพลักษณ์สินค้าและแบรนด์ รวมถึงทำให้สินค้าเข้ามาอยู่ใกล้ชิดกับวิถีชีวิตคนยุคใหม่มากขึ้น
ในที่สุด จากยาหอมที่เป็นยาสามัญประจำบ้านภูมิปัญญาไทยอยู่คู่วิถีชีวิตคนไทย อาจเหลือเพียงภาพจำว่าครั้งหนึ่ง ยาหอมเคยเป็นสินค้าของฝากที่ชาวจีนชื่นชอบ สุดท้ายแล้ว เมื่อ “คุณค่า” ของสินค้าในมุมของผู้บริโภคลดลง ย่อมส่งผลต่อการเติบโตในระยะยาวของบริษัทในที่สุด
Oops!! ขอปิดท้ายด้วยรายได้รวมและกำไรสุทธิย้อนหลัง 5 ปีของ บริษัท 5 พระเจดีย์ จำกัด
ยาอมตราตะขาบ 5 ตัว… สินค้าน่าซื้อของไทยที่โดนใจคนจีน
ต้นกำเนิดของ บริษัท ห้าตะขาบ (ซิมเทียนฮ้อ) จำกัด เริ่มขึ้นเมื่อกว่า 80 ปีก่อน สมัยที่ คุณจุ้ยไซ แซ่ซิ้ม อดีตเด็กปรุงยา-ต้มยาในร้านหมอจีนที่ประเทศจีน ได้อพยพมาตั้งรกรากด้วยการทำสวนและเลี้ยงไก่ที่เมืองไทย พร้อมกับทดลองทำยาอมแก้ไอใช้เอง และนำไปฝากขายตามร้านขายยา
ครั้งหนึ่ง คุณจุ้ยไชเห็นตะขาบหนีน้ำท่วมขึ้นมาอยู่ตามฝาบ้าน จึงเกิดความคิดนำมาทำเป็นเครื่องหมายการค้าเนื่องจากหมอจีนสมัยโบราณเชื่อว่า “ต้องใช้พิษล้างพิษในการรักษาผู้ป่วย” จึงออกแบบซองยาเป็นรูปตะขาบทั้งสองข้าง โดยให้มีตะขาบ 5 ตัว เพราะเป็นเลขนำโชคของจนจีน พร้อมกับมีรูปเขาอยู่ตรงกลาง
ฝ่าฟันมานานกว่า 20 ปี ในที่สุดแบรนด์ก็เป็นที่รู้จัก ปัจจุบัน กิจการขับเคลื่อนโดยทายาทรุ่น 3 ซึ่งมีการนำเอาการตลาดมาใช้อย่างเต็มที่ ทั้งการรีแบรนด์ (Rebranding) และการขยายตลาด ซึ่งได้จำหน่ายไปในกลุ่มประเทศอาเซียน และอีกหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งยังมีการพัฒนาสินค้าใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีสินค้า 4 ประเภท คือ ยาอมแก้ไอ ยาขมเม็ด ยาเม็ดเบอร์เจ็ด (ยาแก้บิด) และ ยากวาดมหาจักร
สำหรับยาอมแก้ไอที่เป็นสินค้ายอดฮิตของบริษัท มีให้เลือกถึง 4 รสชาด คือ รสสมุนไพร รสบ๊วย รสมิ้นท์ และรสตะไคร้ และในเร็วๆ นี้ (ปัจจุบัน อยู่ระหว่างพัฒนา) บริษัทยังเตรียมสินค้าใหม่เป็น “สเปรย์พ่นแก้ไอ”และ “ซอฟต์เจลแก้ไอ” โดยใช้ยาตำรับเดิมทั้งในแง่รสชาติ และปริมาณสารออกฤทธิ์ ทั้งนี้ เพื่อเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ไม่ชอบอมเนื่องจากไม่อยากให้ลิ้นดำ ตลอดจนยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า
ปี 2516 บริษัท ห้าตะขาบ จัดตั้งด้วยทุนจดทะเบียน 3 ล้านบาท ผ่านไป 36ปี ทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้นเป็น 100 ล้านบาท ขณะที่รายได้ปี 2561 อยู่ที่เกือบ 505 ล้านบาท เติบโตจากปี 2557 ซึ่งมีรายได้เกือบ 203 ล้านบาท หรือก็คือ ภายใน 5 ปีนี้ รายได้ของบริษัทฯ โตขึ้นราว 2.5 เท่าจากปี 2557 ส่วนกำไรปี 2561 อยู่ที่กว่า 156 ล้านบาท เติบโตจากปี 2557 ซึ่งมีกำไรเพียงประมาณ 32 ล้านบาท เรียกว่า กำไรเพิ่มขึ้นถึงเกือบ 5 เท่าในช่วง 5 ปี
ผู้บริหารรุ่น 3 ของ บริษัทฯ เคยให้ข้อมูลว่า บริษัทมีรายได้จากการส่งออก 30-40% ขณะที่รายได้ในประเทศมากกว่าครึ่งมาจากตลาดนักท่องเที่ยว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีน โดยแว่วมาว่ามีการตั้งเป้ารายได้แตะหลัก 1,000 ล้านบาทภายใน 7 ปี และบริษัทยังได้เตรียมลงทุนสร้างโรงงานใหม่ที่ได้มาตรฐานเทียบเท่าโรงงานยาแผนปัจจุบัน เพื่อวางรากฐานการเติบโตในอนาคต
“โป๊ยเซียน ใช้ดม ใช้ทา” จนรายได้เกือบหลักพันล้าน

จากเว็ปไซต์ของบริษัท โกลด์ มิ้นท์ โปรดักส์ จำกัด ระบุว่า ตำนานของ “โป๊ยเซียน” เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2479 จากร้านขายยาสมุนไพรโบราณในย่านเยาวราช เช่น ยาสตรีตราโป๊ยเซียน ยาน้ำส้มตราโป๊ยเซียน และยาน้ำเอียจับตราโป๊ยเซียน เป็นต้น กระทั่งรุ่นสองมีการปรับสูตรยาดม และพัฒนาผลิตภัณฑ์จนกลายเป็น ยาดม “พีเป็กซ์ (Pe-Pex)” หลอดสีแดง
หลังพีเป๊กซ์ประสบความสำเร็จนานนับ 10 ปี บริษัทได้ทำการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์จนออกมาเป็นยาดม 2-in-1 ตามสโลแกนที่เราคุ้นเคยกันคือ “โป๊ยเซียน ใช้ดม ใช้ทา ในหลอดเดียวกัน” ซึ่งนั่นเป็นจุดที่ทำให้ยาดมโป๊ยเซียนเติบโตอย่างมาก โดยไม่ชิงส่วนแบ่งตลาดยาดม ยังสามารถเข้าไปชิงส่วนแบ่งในตลาดยาหม่องและยาหม่องน้ำได้ด้วย
ในเดือน ก.ย. 2532 ครอบครัว “ลาภบุญทรัพย์” ได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทฯ ขึ้นด้วยทุนจดทะเบียน 20 ล้านบาท ปัจจุบัน มีทุนจดทะเบียน 30ล้านบาท ปัจจุบัน นอกจากยาดม “โป๊ยเซียน” ยังมีผลิตภัณฑ์เป็นพิมเสนน้ำ ยาหม่อง ส้มโอมือ และไม่เพียงแบรนด์ “โป๊ยเซียน” ยังมียาดมแบรนด์ “พีแป๊กซ์ (Pe-Pex)” , Mark II, และ PAX ซึ่ง 2 แบรนด์หลังจะเน้นขายในต่างประเทศ
หากดูรายได้ย้อนหลัง 10 ปีของบริษัทฯ จะพบว่า รายได้รวมเติบโตจาก 296.13 ล้านบาท ในปี 2552 มาอยู่ที่ 821.08 ล้านบาท ในปี 2561 หรือมี อัตราเติบโตสูงถึงกว่า 177% ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ขณะที่กำไรสุทธิเติบโตจาก 77.61 ล้านบาท ในปี 2552 พุ่งมาอยู่ที่ 277.44 ล้านบาท ในปี 2561 หรือก็คือ ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถทำกำไรเติบโตสูงกว่า 250%เลยทีเดียว
“เบอร์แทรม (1958)” คู่ปรับตลอดกาลในตลาดยาดม
เห็นรายได้และกำไรของ “โป๊ยเซียน” หลายคนอาจกำลังตกตะลึงในตัวเลขหลักร้อยล้านบาท แต่ถ้ามาดูตัวเลขของ “คู่ปรับ (ทางธุรกิจ)” ในตลาดยาดมของโป๊ยเซียนอย่าง บริษัท เบอร์แทรม (1958) จำกัด ของตระกูล “เอี่ยมพิกุล” โดยมีจุดเริ่มต้นจากยาหม่องน้ำสมุนไพร “เซียงเพียวอิ๊ว” ที่พัฒนาขึ้นโดยคุณบุญจือ เอี่ยมพิกุล ในปี 2501 กระทั่งมีการก่อตั้งเป็นบริษัทขึ้น
ตามข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ บริษัท เบอร์แทรม (1958) จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งในเดือน พ.ย. 2524ด้วยทุนแรกเริ่มเพียง 4 ล้านบาท จากนั้นในปี 2545 ได้มีการเพิ่มทุน จนมีทุนจดทะเบียนในปัจจุบันอยู่ที่ 25 ล้านบาท
นอกจากการต่อยอดจากยาหม่องน้ำ เซียงเพียวอิ๊ว เป็นยาหม่อง (บาล์ม) ต่อมา ในปี 2548 เบอร์แทรมฯ ยังได้เริ่มพัฒนาสินค้าประเภทยาดมแบบหลอด เรียกว่าออกมาท้าชิงกับโป๊ยเซียนโดยตรง ภายใต้แบรนด์ “เป็บเปอร์มิ้นท์ ฟิลด์” โดยรุกทำการตลาดอย่างหนัก ด้วยการลงทุนจ้างดารานักแสดงชื่อดังหลายคนมาเป็นพรีเซนเตอร์ เพื่อชูจุดยืน “ยาดมสำหรับคนรุ่นใหม่” จนยอดขายเริ่มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ มีผลการสำรวจหลายแห่งยังคงระบุว่า หากดูเฉพาะตลาดยาดมแบบหลอด (2-in-1) “โป๊ยเซียน” น่าจะเป็นอันดับหนึ่งในแง่ของแบรนด์ และอาจรวมถึงยอดขาย
ในปี 2557 เบอร์แทรมฯ มีการลงทุนกว่า 1 พันล้านบาท ในการเปิดโรงงานใหม่เพื่อรองรับกับยอดขายที่เพิ่มขึ้นทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ ส่งผลให้ ในปี 2561 บริษัทฯ มีกำลังการผลิตสินค้าทุกชนิดรวมกันราว 80 ล้านชิ้น โดยถ้าเดินหน้าเต็มกำลังการผลิต จะสามารถผลิตได้มากถึง 200 ล้านชิ้นต่อปี
ปัจจุบัน เบอร์แทรมฯ มีแบรนด์หลัก ได้แก่ “เซียงเพียวอิ๊ว” ซึ่งมีทั้งยาหม่องน้ำ ยาดมแบบหลอด ยาหม่อง (บาล์ม) ไปจนถึงครีมแก้ปวดเมื่อย และมี “เป็บเปอร์มิ้นท์ ฟิลด์” รุกตลาดคนรุ่นใหม่ โดยมีทั้งยาดม 2-in-1 ยาหม่องเจล และยาหม่องแท่ง นอกจากนี้ยังมี ยาดมสมุนไพรแบรนด์ “กานพลู”
เมื่อเทียบรายได้รวมในช่วง 7 ปีย้อนหลังของทั้ง 2 บริษัท จะพบว่า เบอร์แทรมฯ มีอัตราการเติบโตของรายได้ตลอดช่วง 7 ปี สูงกว่า 97% ขณะที่โกลด์ มิ้นท์ฯ มีอัตราการเติบโตของรายได้ในช่วง 7 ปีย้อนหลังราว 79% โดยในช่วง 5 ปีหลังการลงทุนใหญ่ของเบอร์แทรมฯ จะเห็นว่า รายได้ของเบอร์แทรมฯ ทิ้งห่างจากโกลด์ มิ้นท์ฯอย่างเห็นได้ชัด
สำหรับกำไร ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา กำไรของโกลด์ มิ้นท์ฯ สูงกว่า 200% ซึ่งหลายคนอาจมองว่าสูงแล้ว แต่เมื่อเทียบกับการเติบโตของเบอร์แทรมฯ จะพบว่าตลอด 7 ปีที่ผ่านมา เบอร์แทรมฯ ทำกำไรเติบโตสูงกว่า 800% โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีหลังมานี้ กำไรของเบอร์แทรมฯ สูงกว่าโกลด์ มิ้นท์ฯ อย่างเห็นได้ชัด
จะเห็นว่าในตลาดยาดมที่ดูเหมือนเป็นสินค้าเชยๆ ไม่มีสีสันหวือหวาอะไร แต่แค่เพียง “ผู้เล่น” 2 รายใหญ่ในตลาด ก็กวาดส่วนแบ่งตลาดรวมกันไปแล้ว เป็นมูลค่ามากกว่า 2 พันล้านบาท …
สำหรับ “ตลาดยาหม่อง” ซึ่งเป็นอีกตลาดที่มีความน่าสนใจอย่างมาก Oops! ขออนุญาตจะมาขยายภาพของตลาดนี้ให้เห็นอย่างละเอียดในตอนต่อไป