หลังจากที่ดิจิทัลเข้ามาเปลี่ยนแปลงตลาด ส่งผลให้ผู้บริโภคมีพลังและอำนาจต่อรองจากผู้ผลิตสินค้ามากขึ้น ผู้ผลิตจึงต้องหาวิธีทางในการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และหนึ่งในความต้องการหลักของผู้บริโภคทั่วโลก คือ เรื่องของสิ่งแวดล้อม
Customers is GOD!!!
“โลก” ดาวเคราะห์สีฟ้าดวงที่ 3 ในระบบสุริยะจักรวาล กำลังประสบภาวะโลกร้อนหลังสิ้นยุคน้ำแข็งเมื่อกว่า 10,000 ปีที่แล้ว ส่งผลให้โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้จากภาวะน้ำแข็งขั้วโลกละลาย หรือที่เห็นได้ชัดเจนคือ ฤดูหนาวของไทยเริ่มหายไปเหลือเพียงฤดูร้อนแทบทั้งปี ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของอุตสาหกรรมที่ในอดีตยังไม่มีการใส่ใจในสิ่งแวดล้อม
จนกระทั่งเรื่องของสิ่งแวดล้อมเริ่มถูกหยิบยกและตระหนักมากขึ้นในช่วงกว่าทศวรรษที่ผ่านมา ส่งผลให้มีการรณรงค์ลดภาวะโลกร้อน ทั้งในอุตสาหกรรมภาคการผลิตและในภาคของผู้บริโภค จนถึงขนาดต้องมีการขายคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) เพื่อจูงใจให้บรรดาอุตหกรรมผู้ผลิตหันมาใส่ใจและตั้งใจในการลดการปล่อยมลพิษทำลายสิ่งแวดล้อม
และเมื่อผู้บริโภคในยุคดิจิทัลตระหนักรู้ถึงมหันตภัยจากมลภาวะที่จะส่งผลต่อโลกในอนาคต หลายคนก็เริ่มให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่ดูแลสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยผลการสำรวจออนไลน์เกือบ 3,000 คนใน 35 ประเทศระหว่างเดือนสิงหาคมถึงเดือนตุลาคม 2561 ที่จัดทำโดย Accenture Strategy ที่มีต่อผลิคภัณฑ์หลากหลายชนิดตั้งแต่ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสุนัขไปจนถึงยานยนต์ไฟฟ้า
โดยผลการสำรวจพบว่า ผู้บริโภคเกือบ 2 ใน 3 ต้องการซื้อสินค้าและบริการจากบริษัทที่ตอบสนองความต้องการได้ นอกจากนี้กว่า 60% ของผู้ตอบแบบสอบถามชี้ว่าหลายธุรกิจเริ่มดำเนินการลดการใช้พลาสติกและปรับปรุงสภาพแวดล้อม
ครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสำรวจกล่าวว่า พวกเขาสนับสนุนบริษัทที่ใส่ใจต่อประเด็นทางสังคมและวัฒนธรรม นอกจากนี้ 3 ใน 4 ของผู้ตอบแบบสำรวจชอบบริษัทที่ใช้ส่วนผสมที่มีคุณภาพสูง ในขณะที่มากกว่า 60% ชื่นชอบธุรกิจที่ดำเนินการแบบโปร่งใสและปฏิบัติต่อพนักงานได้ดี ที่สำคัญเกือบครึ่งของผู้ตอบแบบสำรวจจะเลิกการสนับสนุนผลิตภัณฑ์จากบริษัทที่ไม่สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม และ 2 ใน 3 จะรีวิวด้านลบลงในโซเชียลมีเดีย
นอกจากนี้ผลการสำรวจกว่า 2,000 คนในสหราชอาณาจักร, สหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลียและจีน ยังพบว่าการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจและสังคมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้บริโภค สอดคล้องกับผู้บริโภคที่ต้องการให้บริษัทยืนหยัดเพื่อสังคม
ไม่เพียงเท่านี้ Accenture Strategy ยังได้สำรวจการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยทำการแยกสำรวจอีกกว่า 6,000 คน โดยพบว่าค่าใช้จ่ายของแบตเตอรี่ EV ลดลงมากกว่า 80% ในเวลาเพียง 6 ปี ทำให้ราคาของยานยนต์ไฟฟ้าใกล้เคียงกับราคาของรถยนต์ปกติ คาดว่ายานยนต์ไฟฟ้าจะมียอดขายแซงหน้ารถยนต์ทั่วไปภายในปี 2040
ผู้บริโภคยังชี้ว่า ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมเป็นแรงจูงใจหลักในการซื้อยายนต์ไฟฟ้า ตามด้วยเหตุผลในการประหยัดต้นทุนด้านเชื้อเพลิงในระยะยาว โดยคาดว่าในยุโรปและสหรัฐอเมริกาจะมียานยนต์วิ่งบนถนนกว่า 10 ล้านคันภายในปี 2568 แนวโน้มดังกล่าวจะสร้างจุดเปลี่ยนให้กับธุรกิจที่ต้องหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องของสิ่งแวดล้อม
Source: Forbes