เมื่อเอ่ยถึง TOYOTA หลายคนมักจะนึกถึงค่ายรถยนต์ที่เห็นทั่วไปบนท้องถนน รวมไปถึงนวัตกรรมด้านยานยนต์ที่ TOYOTA ให้ความสำคัญ พร้อมๆ กับการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ TOYOTA สามารถเติบโตควบคู่ไปกับสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ภายใต้รูปแบบวิถีชีวิตที่ยังคงไว้ในเช่นเดิม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ TOYOTA ประสบความสำเร็จในตลาดยานยนต์
แต่เบื้องหลังความสำเร็จของ TOYOTA ยังมีโครงการต่างๆ มากมายที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องของยานยนต์ หากแต่เป็นโครงการที่มุ่งเน้นเพื่อสังคมอีกมากมาย โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวการพัฒนาและการแบ่งปันเพื่อขับเคลื่อนความสุขสู่ทุกพื้นที่ของประเทศไทย ตั้งแต่ระดับชุมชนไปจนถึงระดับประเทศ ซึ่งเป็นความร่วมมือแบบมีส่วนร่วมตั้งแต่ชาวบ้านในพื้นที่โครงการไปจนถึงผู้บริหารระดับสูงจาก TOYOTA
สำหรับครั้งนี้เราได้รับเกียรติจากผู้บริหารระดับสูงของ TOYOTA อย่างคุณวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บ.โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย และคุณประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานมูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย ที่จะมาไขความกระจ่างสำหรับรูปแบบการบริหารงานโครงการต่างๆ และการแบ่งปันภูมิปัญญาที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนาชุมชนต่างๆ
โตโยต้าขับเคลื่อนความสุขสู่การแบ่งปันที่ไม่สิ้นสุด
“การส่งเสริมพัฒนาการและสวัสดิการของประเทศ ควบคู่ไปกับการเจริญเติบโตของชุมชนในประเทศที่โตโยต้าเข้าไปดำเนินธุรกิจ เป็นแนวคิดรากฐานอันแข็งแกร่งซึ่งได้ยึดถือมาตลอดในการดำเนินงานภายในประเทศไทยและเป็นปรัชญาสำคัญในการดำเนินธุรกิจของโตโยต้าทั่วโลก และในโอกาสครบรอบ 50 ปีในปี พ.ศ. 2555 โตโยต้าได้กำหนดแนวทางการดำเนินงาน ภายใต้สโลแกน “โตโยต้า ขับเคลื่อนความสุข” โดยมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนความสุขสู่สังคมไทย ผ่านการส่งต่อ 3 คุณค่าขององค์กร ได้แก่การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ, การพัฒนาธุรกิจและบุคลากรและการส่งเสริมกิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร”
โตโยต้าเชื่อว่าความสุขนั้นเกิดได้จากหลายรูปแบบ แต่รูปแบบความสุขที่โตโยต้าเล็งเห็นนั้น คือ ความสุขที่ยั่งยืน อันเกิดจากการที่เราได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือ หรือสร้างความสุขให้ผู้อื่น และคนเหล่านั้นสามารถส่งต่อความสุขให้กับคนอื่นๆต่อไปได้อย่างไม่สิ้นสุด หรือเรียกอีกอย่างว่าเป็นความสุขที่เกิดจาก “การแบ่งปัน”
“โตโยต้าเห็นคุณค่าของการแบ่งปัน แต่เราเชื่อว่าการแบ่งปันที่ไม่สิ้นสุดคือการ “แบ่งปัญญ์” หรือการ “แบ่งปันภูมิปัญญา”เราจึงดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคม โดยยึดมั่นแนวทางดังกล่าวมาตลอด เพราะเชื่อว่าจะนำไปสู่ ความสุขของสังคมไทยอย่างยั่งยืน”
3 เสาหลักเพื่อการพัฒนาสังคม สู่ 3 โครงการสำคัญของโตโยต้า
“ความมุ่งมั่นในการดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมของโตโยต้า คือ การเป็นส่วนหนึ่งที่จะขับเคลื่อนสังคมไทยสู่ “ยุคแห่งการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ผ่านการดำเนินงาน ใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ด้านสังคม ด้านเศรษฐกิจ และด้านสิ่งแวดล้อม”
หากกล่าวถึงกิจกรรมด้านสังคมคงต้องยอมรับว่า “โครงการโตโยต้าถนนสีขาว” เป็นหนึ่งในโครงการที่หลายคนรู้จักเป็นอย่างดีซึ่งเป็นโครงการที่สนับสนุนให้เกิดการขับขี่อย่างปลอดภัยภายใต้กฎระเบียบของกฎหมายจราจรและหลักความปลอดภัยในการขับขี่และยังเป็นโครงการที่มีส่วนช่วยลดอุบัติเหตุบนท้องถนน นอกจากนี้โตโยต้ายังได้มีการดำเนินการส่งเสริมสังคมในด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยการแบ่งปันโอกาสทางการศึกษาแก่เด็กและเยาวชนที่ขาดโอกาส ภายใต้ “มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย” อีกด้วย
รวมไปถึงโครงการทางด้านเศรษฐกิจ ที่เรียกได้ว่าเป็นโครงการที่โดดเด่นของโตโยต้าอย่างโครงการ “โตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์” ที่ว่าด้วยการนำปัจจัยแห่งความสำเร็จและประสบการณ์ในการทำธุรกิจขององค์กรมาแบ่งปันแก่ธุรกิจชุมชนของไทย เพื่อพัฒนาศักยภาพให้กลายเป็นผู้ประกอบการมืออาชีพ โดยเฉพาะกลุ่มชุมชนที่มีผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นภายในของชุมชนเอง
ขณะที่ทางด้านสิ่งแวดล้อม โตโยต้าเองก็มีกิจกรรมมากมายที่ดำเนินงานภายใต้โครงการ “โตโยต้าเมืองสีเขียว” ที่มุ่งเน้นในการดำเนินงานภายในองค์กรอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงการแบ่งปันองค์ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมแก่สังคมไทยผ่านกิจกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
ด้วยการให้ความสำคัญกับกิจกรรมเพื่อสังคมทั้ง 3 ด้านของโตโยต้า จึงมีส่วนสำคัญในการผลักดันให้สังคมไทย เกิดความแข็งแกร่งในด้านภูมิปัญญา ไม่ว่าจะเป็นความรู้ในด้านความปลอดภัย การส่งเสริมสังคมในด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต ความช่วยเหลือในด้านความรู้ต่างๆ รวมไปถึงการส่งเสริม เศรษฐกิจชุมชนให้มีการเติบโตแข็งแรงอย่างยั่งยืน ซึ่งถือเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาสังคมไทย
คุณวุฒิกร ยังกล่าวด้วยความมุ่งมั่นว่า “โตโยต้าคาดหวังว่า ผู้ที่ได้รับโอกาสทางการศึกษา ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม และประสบการณ์ในการทำธุรกิจ จะนำภูมิปัญญาไปส่งต่อเพื่อสร้างคุณประโยชน์และความสุขแก่ผู้อื่นต่อไป อันจะนำไปสู่ การแบ่งปันที่ไม่สิ้นสุด”
มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย เพื่อคุณภาพและการศึกษาของเยาวชน
คุณประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานมูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย ได้กล่าวถึง รายละเอียดของกิจกรรมต่างๆ ภายใต้มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย ที่เรียกว่าเป็นการแบ่งปันโอกาสทางการศึกษาจากโตโยต้าสู่สังคมไทย เพื่อสร้างรอยยิ้มและความสุขที่ยั่งยืน
“มูลนิธิฯ ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 ด้วยความตระหนักว่าชุมชนและสังคมที่เข้มแข็ง ย่อมอยู่บนรากฐานที่มั่นคงของการศึกษาและคุณภาพชีวิตที่ดี จึงมุ่งมั่นในการดำเนินงานผ่าน 3 ส่วน ได้แก่ การพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็ก เยาวชน และคนพิการ, ส่งเสริมการดำเนินการขององค์กรสาธารณกุศลต่างๆ, ส่งเสริมการศึกษาแก่เด็กและเยาวชน”
ตลอดระยะเวลา 26 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิฯ ได้มอบทุนสนับสนุนเพื่อส่งเสริมสังคมไทยแบ่งออกเป็นโครงการเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิต จำนวน 9 โครงการ และส่งเสริมการดำเนินการขององค์กรสาธารณกุศล ที่มีทิศทางการดำเนินงานสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของมูลนิธิฯ เป็นจำนวน 57 โครงการ
“อีกหนึ่งด้านที่มูลนิธิฯ ให้ความสำคัญ คือการส่งเสริมสังคมทางด้านการศึกษา โดยแบ่งปันโอกาสแก่เยาวชนที่ขาดแคลน เป็นทุนการศึกษาไปแล้วทั้งสิ้น 13,641 ทุน โดยหวังว่านักเรียนทุนจะนำภูมิปัญญาและโอกาสที่ได้รับ ไปถ่ายทอด ต่อยอด เพื่อสร้างประโยชน์แก่ผู้อื่นต่อไป”
ในช่วงปี พ.ศ.2547 มูลนิธิฯ เล็งเห็นปัญหาด้านคุณภาพชีวิตในบริเวณโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทั้งในด้านสุขอนามัยและด้านโอกาสในการศึกษาของนักเรียนที่ไม่สามารถเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาได้ ด้วยปัจจัยด้านทุนทรัพย์และโอกาสทางการศึกษา มูลนิธิฯ จึงได้ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จัดโครงการทุนการศึกษาเพื่อนักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิตจากพื้นที่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือและนักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์
เนื่องจากเห็นว่าการแบ่งปันโอกาสแก่เด็กและเยาวชนเหล่านี้ จะเป็นการสร้างบุคลากรด้านการพยาบาลเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตบริเวณโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนได้ในอนาคต จึงดำเนินโครงการ โดยมีเงื่อนไขกับนักเรียนผู้ได้รับทุนว่า “หลังจากคุณเรียนจบ คุณต้องนำองค์ความรู้กลับไปพัฒนาพื้นที่ของคุณ” ซึ่งเป็นแนวคิดที่แสดงให้เห็นถึงการแบ่งปันที่ไม่สิ้นสุด
“เราคงพอจะทราบกันแล้วว่า ปัจจุบันภาวะสังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะจำนวนของประชากรผู้สูงอายุที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ ซึ่งจะก่อให้เกิดการขาดแคลนบุคลากรที่จะเข้ามาดูแลผู้สูงอายุ รวมไปถึงปัญหาเยาวชนที่ถูกละเลยจากพ่อแม่ผู้ปกครองด้วยความจำเป็นทางด้านเศรษฐกิจ เนื่องจากบิดา มารดา ต้องไปทำงานในเมืองหลวง”
ด้วยเหตุนี้มูลนิธิฯ ได้กำหนดแนวนโยบายเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับแนวโน้มของปัญหาสังคมผู้สูงวัยและปัญหาเยาวชน มูลนิธิฯ จึงได้ร่วมมือกับสภาการพยาบาล สนับสนุนทุนการศึกษาพยาบาลสาขาผู้สูงวัย รองรับการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยที่กำลังก้าวไปสู่สังคมผู้สูงวัย และสนับสนุนทุนวิจัยโครงการศูนย์พยาบาลต้นแบบในชุมชน เพื่อลดปัญหาขาดแคลนบุคลากรในการดูแลผู้สูงอายุ
“ไม่เพียงแต่ผู้สูงวัยเท่านั้นที่มูลนิธิฯ เข้าไปร่วมกับองค์กรอื่นๆ ในการสนับสนุน ช่วยเหลือและดูแล แต่มูลนิธิฯ ยังได้ร่วมกับมูลนิธิหมอเสม พริ้งพวงแก้ว สำหรับทุนพัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชน โดยจัดค่ายเยาวชน ให้เด็กใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ช่วยลดปัญหาความรุนแรงในสังคม”
โตโยต้าหวังว่าทุนในการดำเนินกิจกรรมเหล่านี้ จะเป็นการแบ่งปันโอกาสและภูมิปัญญาในการสร้างบุคลากรเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการตอบโจทย์ปัญหาสังคม ตลอดจนเป็นการพัฒนาเยาวชนซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในอนาคต เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยและขับเคลื่อนความสุขที่ยั่งยืนแก่สังคมไทย
โตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์ ความยั่งยืนและความมั่นคงของชุมชน
ในอดีตที่ผ่านมา การพัฒนาชุมชนด้านเศรษฐกิจได้รับการตอบสนองจากภาครัฐและสังคมอย่างดี โดยเฉพาะธุรกิจชุมชน ซึ่งถือเป็นภาคเศรษฐกิจที่มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในภาพใหญ่ แต่จากสถิติพบว่า มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองอย่างยั่งยืน เนื่องจากประสบปัญหาในการบริหารจัดการธุรกิจ
“เราได้นำองค์ความรู้ในการทำธุรกิจของโตโยต้าที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ไม่ว่าจะเป็นวิถีโตโยต้า, ระบบการผลิตแบบโตโยต้าและปรัชญาลูกค้าเป็นที่หนึ่ง มาถ่ายทอดสู่ธุรกิจชุมชนภายใต้โครงการโตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์ ซึ่งเป็นโครงการที่เริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2556”
สำหรับโครงการโตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์มีวัตถุประสงค์ในการสร้างความเข้มแข็งแก่เศรษฐกิจรากหญ้า โดยถ่ายทอดประสบการณ์ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินงานอย่างมืออาชีพ พร้อมๆ กับการพัฒนาธุรกิจของตนเองได้อย่างต่อเนื่อง เปรียบเสมือนคำกล่าวที่ว่า ถ้าท่านให้ปลาแก่คนจน เขาจะมีปลากินเพียงแค่วันเดียว แต่ถ้าท่านสอนวิธีจับปลาให้เขา เขาจะมีกินตลอดชีวิต
“สำหรับโครงการโตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์มีวัตถุประสงค์ในการสร้างความเข้มแข็งแก่เศรษฐกิจของประเทศไทย ผ่านการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ถ่ายทอดประสบการณ์ ไคเซ็น – การปรับปรุงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ประกอบการให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมืออาชีพ เพิ่มกำไร และอยู่ได้ด้วยตนเองอย่างยั่งยืน”
ในขั้นต้นจะ เน้นการแบ่งปันประสบการณ์แก่ธุรกิจชุมชน ซึ่งก็คือ ผู้ประกอบการและพนักงานทั้งหมด ถ่ายทอดผ่านพนักงานเกษียณอายุผู้เชี่ยวชาญระบบการผลิตแบบโตโยต้า ที่ร่วมดำเนินงานศึกษาปัญหาและปรับปรุงธุรกิจของชุมชน เพื่อนำไปสู่ผลลัพธ์ที่มุ่งหวังคือ ธุรกิจชุมชนที่ดำเนินงานได้อย่างเป็นระบบ สามารถลดต้นทุน เพิ่มกำไร ซึ่งจะทำให้เกิด การแบ่งปันขั้นที่สอง นั่นคือชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและความสุขของพนักงานและชุมชน
สำหรับการแบ่งปันในขั้นสุดท้าย เมื่อธุรกิจชุมชนสามารถพัฒนาและดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงสามารถปรับปรุงธุรกิจได้ด้วยตัวเอง โตโยต้าจะตกลงกับผู้ประกอบการในการยกระดับให้กลายเป็นศูนย์การเรียนรู้โตโยต้าธุรกิจชุมชนพัฒน์ เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์สู่ธุรกิจชุมชนอื่นๆ ต่อไป
ปัจจุบัน โตโยต้าได้ถ่ายทอดองค์ความรู้แก่ธุรกิจชุมชนแล้วทั้งสิ้น 12 แห่งใน 12 จังหวัด และได้ยกระดับธุรกิจตัดเย็บเสื้อโปโล แบรนด์ฮาร์ทโอทอป ในจังหวัดกาญจนบุรีและวิสาหกิจชุมชนข้าวแต๋นสมุนไพร แบรนด์สายทิพย์ ในจังหวัดขอนแก่น ขึ้นเป็นศูนย์การเรียนรู้โตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์ในลำดับที่ 1 และลำดับที่ 2 ของประเทศไทย
“สำหรับในปีพ.ศ.2561 โตโยต้าจะขยายโครงการสู่ธุรกิจชุมชนเพิ่มขึ้นในอีก 10 จังหวัดควบคู่กับการนำองค์ความรู้และประสบการณ์จากการดำเนินโครงการฯ ที่ผ่านมาเพื่อร่วมแบ่งปัน ในการพัฒนาศักยภาพธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโครงการประชารัฐ โดยความร่วมมือกับหอการค้าไทยและกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม”
สำหรับแผนของโครงการโตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์ในอนาคต โตโยต้าเตรียมที่จะขยายโครงการให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และจะขยายศูนย์การเรียนรู้ให้ครอบคลุมทุกภูมิภาค ด้วยความร่วมมือกับภาครัฐ ชุมชน และผู้แทนจำหน่ายโตโยต้าทั่วประเทศ โดยหวังว่าการแบ่งปันองค์ความรู้สู่ธุรกิจชุมชนทั่วประเทศจะเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาภาคเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืนต่อไป ซึ่งจะเป็นการขับเคลื่อนความสุขสู่สังคมไทย ผ่านการแบ่งปันที่ไม่สิ้นสุดอย่างแท้จริง
โตโยต้าเมืองสีเขียวพัฒนาคุณภาพชีวิตร่วมกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
จากพันธสัญญา ที่เป็นความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมของบริษัทโตโยต้าทั่วโลก ในการลดผลกระทบเชิงลบด้านสิ่งแวดล้อมให้เป็นศูนย์ และเพิ่มผลกระทบเชิงบวกเพื่อมุ่งไปสู่การพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน หรือ ‘Toyota Environmental Challenge 2050’
“เรายึดมั่นใน การบริหารจัดการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในทุกกระบวนการ ตั้งแต่กระบวนการต้นน้ำนั่นคือการจัดซื้อ การขนส่ง ต่อเนื่องมาถึงกระบวนการกลางน้ำ คือการผลิตในโรงงานจนถึงปลายน้ำ นั่นคือผู้แทนจำหน่ายโตโยต้า ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งรวมถึงการนำผลิตภัณฑ์มารีไซเคิลหรือการกำจัดซากอย่างถูกวิธี”
ประกอบกับ ความมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการ สร้างจิตสำนึกรักษ์สิ่งแวดล้อมแก่สังคมไทย จึงได้ดำเนินกิจกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อแบ่งปันความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมทั่วประเทศ ทั้งหมดนี้ เป็นความตั้งใจที่จะสร้างประเทศไทยให้เป็น “เมืองสีเขียว” พัฒนาคุณภาพการใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ภายใต้โครงการ โตโยต้า เมืองสีเขียว…เพื่อธรรมชาติ เพื่อทุกชีวิต
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โตโยต้าได้แบ่งปันองค์ความรู้ผ่านกิจกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่องเป็นเวลามากกว่า 10 ปี เช่น กิจกรรมปลูกป่าชายเลน เพื่ออนุรักษ์ผืนป่าชายเลนบริเวณสถานตากอากาศบางปู, กิจกรรมปลูกป่านิเวศ โดยใช้หลักการปลูกป่านิเวศอย่างยั่งยืนตามแนวคิดของ ศ.ดร.อากิระ มิยาวากิ ที่จะให้ป่าเติบโตเร็วขึ้น 10 เท่าจากวิวัฒนาการของธรรมชาติ หรือกิจกรรมลดเมืองร้อนด้วยมือเรา โดยร่วมกับชุมชนและโรงเรียนทั่วประเทศ ในการดำเนินกิจกรรมเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในพื้นที่ของตน
“นอกจากนี้เรายังได้ขยายผลป่านิเวศในโรงงานโตโยต้าบ้านโพธิ์ โดยการเปิดศูนย์การเรียนรู้ความหลากหลายทางชีวภาพและความยั่งยืน ‘ชีวพนาเวศ’ เมื่อปี พ.ศ.2559 ซึ่งเป็นการแบ่งปันองค์ความรู้ความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพแก่นักเรียนและผู้สนใจ และในเดือนพฤศจิกายนนี้ เราจะเปิดตัวโครงการ โตโยต้าเมืองสีเขียว อยุธยา ศูนย์การเรียนรู้แห่งแรกนอกโรงงาน เพื่อขยายองค์ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมสู่สาธารณชนให้มากขึ้น”
จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมและแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศ ซึ่งมีความเหมาะสมแก่การเป็นต้นแบบการใช้ชีวิตในเมืองอย่างมีคุณภาพร่วมกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
โตโยต้า จึงร่วมมือกับจังหวัดอยุธยา ในการบูรณะ เรือนจำเก่า จุดสกัดหัวรอ จังหวัดอยุธยาให้กลายเป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านสิ่งแวดล้อม ผ่านการนำเสนอองค์ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมของโตโยต้า ใน 5 ด้าน ได้แก่ การเพิ่มพื้นที่สีเขียว การอนุรักษ์น้ำ การใช้พลังงานทดแทน การเดินทางอย่างยั่งยืน และการจัดการขยะ
“โครงการนี้ เราสร้างขึ้นเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับกลุ่มนักเรียน นักศึกษาและประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ละแวกใกล้เคียง เพื่อให้เกิดจิตสำนึกรักสิ่งแวดล้อม พร้อมนำไปสู่การลงมือปฏิบัติต่อไป ซึ่งนอกจากจะเป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมแล้ว เรายังหวังว่าสถานที่แห่งนี้จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่เชื่อมโยงกับสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ของอยุธยา ผ่านรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก (HA:MO) ในรูปแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือ Eco Tourism”
โตโยต้าคาดว่า โครงการดังกล่าวจะเป็นการพัฒนาคุณภาพการใช้ชีวิตในเมืองร่วมกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และเป็นการแบ่งปันที่ไม่สิ้นสุด ในการขับเคลื่อนประเทศสู่เมืองสีเขียวเพื่อธรรมชาติ เพื่อทุกชีวิตต่อไป
คุณวุฒิกร กล่าวปิดท้ายว่า “เราจะยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนไทย ที่มีความปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการให้บริการด้วยความใส่ใจเสมือนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน นอกจากนี้เราจะยังคงเดินหน้าในการแบ่งปันภูมิปัญญา เพื่อสร้างการแบ่งปันที่ไม่สิ้นสุดผ่านกิจกรรมเพื่อสังคม ทั้งในด้านสังคม ด้านเศรษฐกิจและด้านสิ่งแวดล้อมต่อไป ด้วยความมุ่งหวังในการเป็นส่วนหนึ่งที่จะสร้างรอยยิ้มและความสุขที่ยั่งยืนของคนไทย”
httpv://youtu.be/s0q1VpukcEY