จากตลาดที่(เคย)เล็ก แต่ด้วยไลฟสไตล์ของคนเปลี่ยน โดยเน้นความสะดวกสบาย บวกกับการพัฒนาโปรดักท์และการทำการตลาดที่ดุเดือด ทำให้ขณะนี้ตลาดครีมอาบน้ำมีการเติบโตแซงหน้าตลาด(เคย)ใหญ่อย่างสบู่ก้อนไปแล้ว
สำหรับตลาดสบู่ก้อนในปัจจุบันมีมูลค่าราว 3,000 ล้านบาท แทบไม่มีการเติบโต ขณะที่ตลาดครีมอาบน้ำมีมูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท มีการเติบโตเฉลี่ย 3-4 % ต่อปี
ส่วนปัจจัยที่ทำให้เติบโตก็มาจากพกพาสะดวก ใช้ง่าย ตรงกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ถัดมา คือ การพัฒนาโปรดักท์ที่มีการ add value ด้วยการเติมคุณสมบัติพิเศษที่นอกเหนือจากคุณสมบัติอย่างทำความสะอาด ไม่ว่าจะเป็น ผิวขาว , กระชับผิว , ลดริ้วรอย ฯลฯ
นอกจากนี้ตัวโปรดักท์ยังมีความหลากหลายทั้ง กลิ่น และขนาด บวกกับการทำการตลาดของแต่ละแบรนด์ที่เรียกว่าดุเดือด ล้วนเป็นปัจจัยให้ตลาดครีมอาบน้ำมีการเติบโต ซึ่งตลาดหลักของครีมอาบน้ำ ได้แก่ ครีมอาบน้ำสำหรับผู้ใหญ่ มีมูลค่าตลาดรวม 4,832 ล้านบาท โต 4.7% แบ่งเป็น
- ตลาดบิวตี้ 3,277 ล้านบาท คิดเป็น 68% ของตลาด มีการเติบโต 4.26%
- ตลาดเฮลธ์ตี้ 1,273 ล้านบาท คิดเป็น 26% ของตลาด โต 11.12%
- ตลาดผู้ชาย 281 ล้านบาท คิดเป็น 6% ของตลาด ติดลบ 13.57%
สำหรับ 5 อันดับแรกที่ครองมาร์เก็ตแชร์ในตลาดครีมอาบน้ำสำหรับผู้ใหญ่นั้น ประกอบด้วย
อันดับ 1 ลักซ์ มีมาร์เก็ตแชร์ 19% เติบโตติดลบ 4%
อันดับ 2 โชกุบุสซึ มีมาร์เก็ตแชร์ 19% เติบโต 7%
อันดับ 3 บีไนซ์ มีมาร์เก็ตแชร์ 14% เติบโต 10%
อันดับ 4 โพรเทคส์ มีมาร์เก็ตแชร์ 12% เติบโต 2%
อันดับ 5 เดทตอล มีมาร์เก็ตแชร์ 8% ติดลบ 6%
สำหรับเซ็กเม้นท์ที่มีมาร์เก็ตแชร์สูงสุดของตลาดรวมทั้งหมด หนีไม่พ้น ตลาดบิวตี้ที่ขณะนี้มีมูลค่าตลาด 3,277 ล้านบาท พบว่า ลักซ์ ก็ยังครองเป็นผู้นำ ด้วยมาร์เก็ตแชร์ 29% รองลงมาได้แก่ โชกุบุสซึ27% , บีไนซ์ 17% , แพรอท 7% , เฮ้าส์แบรนด์ต่าง ๆ 6%
บีไนซ์ขอเขย่าบัลลังก์เบอร์ 1 ในปี 63
หากเจาะลึกแล้ว ‘บีไนซ์’ แบรนด์อันดับ 3 ของตลาด มีมาร์เก็ตแชร์ 14% เป็นแบรนด์ที่มีการเติบโตมากที่สุด คือ 10% ซึ่งเป้าหมายของทางบีไนซ์ คือ ต้องการขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในตลาดในปี 2563 หรือมีรายได้ 1,000 ล้านบาท จากปัจจุบันรายได้อยู่ที่ 800 ล้านบาท และการจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว จะใช้ 3 กลยุทธ์
1. เน้นพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง ด้วยการคงจุดขายเดิมที่ใช้แจ้งเกิดในตลาดตลอด 16 ปีที่ผ่านมา นั้นคือ Double Firming การกระชับผิว พร้อมกับพยายามสร้างสีสันและกระตุ้นความน่าสนใจของลูกค้า ด้วยการออกลิมิเต็ด อิดิชั่น เช่น บีไนซ์ บิงซู ฯลฯ ควบคู่ไปกับการเปิดกลุ่มโปรดักท์ใหม่ นั่นคือ พรีเมียม โปรดักท์ที่จะมีคุณสมบัติพิเศษ และเพิ่ม Value ให้ลูกค้ายอมจ่ายเงินเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ สินค้าที่ออกไปแล้ว ได้แก่ บีไนซ์ ดีท็อกซ์ ครีมอาบน้ำที่สามารถนำมาพอกตัวได้ ราคาอยู่ที่ 199 บาท
2. การเพิ่มช่องทางจัดจำหน่าย ซึ่งจะเน้นขยายในช่องทางร้านสะดวกซื้อ และร้านค้าออนไลน์ให้มากขึ้น เพื่อให้ลูกค้าหาซื้อโปรดักท์ได้ง่าย
3. การสื่อสาร ด้วยการหันมาโฟกัสสื่ออนไลน์ทั้งไลน์ ทีวี , เฟสบุ๊ค , ยูทูป , ไวรัล คลิป ฯลฯ ตามเทรนด์และพฤติกรรมของผู้บริโภคปัจจุบัน โดยเฉพาะเด็กมหาวิทยาลัย , คนวัยทำงานตอนต้น กลุ่มเป้าหมายที่ทางบีไนซ์ต้องการเข้าถึง เนื่องจากกลุ่มคนเหล่านี้ไม่ดูทีวีแล้ว รวมถึงจัดกิจกรรมทางออนไลน์ สำหรับเชื่อมโยงเข้าถึงตัวผู้บริโภค เพื่อสร้าง Brand love ในใจผู้บริโภค
แบรนด์อื่นพร้อมเคลื่อนไหว
ขณะที่แบรนด์อื่น ๆ ก็มีการเคลื่อนไหว เช่น ผู้เล่นน้องใหม่ อย่าง ‘เบตาดีน’ ที่เราอาจคุ้นเคยกับการเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลแผล ได้ส่ง ‘เบตาดีน เนเชอรัล ดีเฟนส์’ เข้ามาชิมลางในตลาดนี้ที่ไทยเป็นครั้งแรกในโลก
สำหรับเซ็กเม้นท์ที่ทางเบตาดีนเลือกมาปักธงนั้น ได้แก่ เฮลธ์ตี้ ที่แม้จะเป็นตลาดที่มีสัดส่วนเป็นอันดับ 2 รองจากกลุ่มบิวตี้ แต่ก็ถือเป็นตลาดที่ทางเบตาดีนมีความถนัดมากกว่า และเป็นตลาดที่มีคู่แข่งเพียงไม่กี่แบรนด์ หลัก ๆ ก็คือ ‘โพรเทคส์’ กับ ‘เดทตอล’
การเข้ามาในตลาดครั้งนี้ เบตาดีนตั้งเป้ามาร์เก็ตแชร์ไว้ที่ 10% ของตลาดครีมอาบน้ำเฮลธ์ตี้ โดยวางงบการตลาดไว้ 100 ล้านบาท เน้นเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายหลัก อย่างกลุ่มแม่บ้าน ด้วยการดึง ติ๊ก-เจษฎาภรณ์ ผลดี และครอบครัว มารับหน้าที่พรีเซนเตอร์
ขณะที่แบรนด์ผู้นำตลาด ไม่ว่าจะเป็น ‘ลักซ์’ หรือ ‘โชกุบุสซึ ’ แม้ช่วงนี้ดูจะเงียบ ๆ ไปบ้าง แต่เชื่อว่า เมื่อมีคนมาประกาศท้าชิงตำแหน่ง และมีรายใหม่มาแชร์ตลาดแบบนี้แล้ว คงอยู่เฉยไม่ได้ ต้องมีความเคลื่อนไหวออกมาแน่นอน