ถ้ามองรอบตัวในปัจจุบันจะรู้ว่าโลกดิจิทัลอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม ทุกคนมีสิทธิ์ในการใช้งานดิจิทัลและข้อมูลต่างๆ ที่หลั่งไหลมาจากระบบดิจิทัลล้วนแต่มีมูลค่าทั้งสิ้น โดยเฉพาะพฤติกรรมการใช้ชีวิตในปัจจุบัน แต่ดูเหมือนว่าประเทศไทยยังไม่ตระหนักถึงประโยชน์ของการใช้ระบบดิจิทัลและมูลค่าของข้อมูลต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งล้วนแต่สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศชาติได้อย่างมหาศาล แต่ปัจจุบันกลับยังนำศักยภาพเหล่านั้นมาใช้ได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
ในงาน Digital Intelligent Nation 2018ที่เป็นการแสดงวิสัยทัศน์ของ AIS ในอนาคต (AIS Vision) ที่มีการกล่าวถึงความร่วมมือในการพัฒนาโครงสร้างระบบดิจิทัลทั้งประเทศ โดย ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ชี้ว่าประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน และสิ่งที่ประเทศไทยต้องมีคือ Digital for Allการรวมกันทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาชนเพื่อให้ทุกคนเข้าถึงระบบอินเตอร์เน็ต
โครงสร้างเศรษฐกิจ Digital Driven Economy ด้วยการนำเทคโนโลยีไปพัฒนาในการสร้างนวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะธุรกิจ e-Commerce ที่ช่วยให้ทุกคนสามารถค้าขายได้ Digital Warrior หรือบุคลากรทางด้านดิจิทัลที่เข้าใจและสามารถนำระบบดิจทัลไปดำเนินการในธุรกิจ ซึ่งภาครัฐจะให้การสนับสนุนสถาบันการศึกษาผ่านรูปแบบ Tax Intensive นอกจากนี้ประเทศไทยยังต้องมี Digital Leadership Government ซึ่งภาครัฐจะต้องสร้างโครงสร้างและ ecosystem เพื่อให้เอกชนสามารถนำข้อมูลที่ภาครัฐมีไปประกอบการทำธุรกิจ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ Digital Politic การมีส่วนร่วมของภาคเอกชนกับรัฐบาลโดยตรง เพื่อให้รัฐบาลสามารถสร้างกฎระเบียบใหม่ๆ เพื่อตอบสนองการทำงานแบบดิจิทัล
ขณะที่ คุณกานต์ ตระกูลฮุน ประธานกรรมการ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS โดยคุณกานต์ชี้ว่า ประเทศไทยมีการชี้วัดดัชนีหลายๆ ด้านอยู่ในเกณฑ์ที่ดี แต่เรื่องการวิจัยนวัตกรรมประเทศไทยยังน้อยอยู่มาก โดยคาดว่าในปี 2018 ประเทศไทยกำลังจะมีการลงทุนวิจัยด้านนวัตกรรมในระดับ 1.0% ต่อ GDP ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นจุดพลิกผันของประเทศในการพัฒนาไปสู่ยุคดิจิทัล เรื่องของดิจิทัลถือว่าประเทศไทยยังขาดบุคลากรที่สำคัญด้านการวิจัย แต่มีแนวโน้มที่ดีโดยมีการคาดการณ์ว่าในปี 2564 จะมีบุคลากรด้านวิจัยราว 25 : 10,000 คน ซึ่งในอนาคตหากประเทศไทยก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล นักวิจัยด้านนวัตกรรมก็จะเติบโตขึ้นตามความต้องการ
ด้าน คุณสมชัย เลิศสุทธิวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS มองว่า ecosystem มีความสำคัญอย่างมาก ซึ่งประชากรกว่า 7 พันล้านคนทั่วโลกสามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้เกินครึ่ง แต่สมาร์ทโฟนมีพลังมากเพราะมีผู้ใช้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งในไทยมีสมาร์ทโฟนราว 70 กว่าล้านเครื่องแต่มีเบอร์โทรศัพท์กว่า 90 ล้านเลขหมาย
ในปี 2016 มีการใช้ปริมาณข้อมูลอินเตอร์เน็ตราว 3.8GB ต่อคนต่อเดือน แต่ในปี 2017 มีการใช้ปริมาณข้อมูลอินเตอร์เน็ตสูงถึง 7.3GB ต่อคนต่อเดือน หรือเพิ่มขึ้นกว่า 80% และคาดว่าในปีนี้จะมีการใช้ปริมาณข้อมูลอินเตอร์เน็ตประมาณการณ์เกิน 10GB ต่อคนต่อเดือน ชี้ให้เห็นว่ามีการใช้อินเตอร์เน็ตเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้พฤติกรรมเปลี่ยนไปสิ่งเดิมๆ จะถูกทำลายล้างพฤติกรรมและธุรกิจรูปแบบเก่า
นอกจากนี้ในปี 2016 คนไทยใช้อินเตอร์เน็ตเฉลี่ยกว่า 3 ชั่วโมงต่อคนต่อวัน แต่ในปี 2017 คนไทยใช้อินเตอร์เน็ตกว่า 4.8 ชั่วโมงต่อคนต่อวัน เพิ่มขึ้นถึง 60% เพราะอินเตอร์เน็ตที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นพฤติกรรมการดูทีวีจึงเปลี่ยนไป โดยในปี 2017มีการชมทีวีผ่านระบบออนไลน์ผ่าน Smart Device ถึง 41 ล้านคน และมากกว่า 80% เป็นรายการของไทย ทำให้เห็นว่าความต้องการใช้อินเตอร์เน็ตของประเทศไทยมีเพิ่มมากขึ้น
ประกอบกับช่วงที่ผ่านมาธุรกิจในรูปแบบแพลตฟอร์ม (Platform) เกิดขึ้นมามากมายโดยไม่ต้องลงทุนอะไรทั้งสิ้น อย่างเช่น Uber ที่ให้บริการระบบขนส่งแต่ไม่มีรถยนต์เป็นของตัวเอง Alibaba ขายสินค้าโดยที่ไม่มีสินค้าของตัวเอง และอีก 3 ปีข้างหน้าโลกจะเปลี่ยนอย่างแน่นอน ซึ่งประเทศไทยต้องทำ 2 เรื่องทั้งเรื่อง Competency ในเรื่องการพัฒนาบุคลากร และเรื่องของ Digital Platform for THAIs นั่นเพราะธุรกิจของไทยส่วนใหญ่พึ่งพาแพลตฟอร์มจากต่างประเทศอย่าง Facebook, Instagram เป็นต้น
และหากมีการปรับนโยบายของแพลตฟอร์มเหล่านั้น อย่างเช่นที่ Facebook มีการปรับอัลกอริทึ่ม ก็จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจโดยรวม สิ่งที่ AIS จะต้องทำคือการพัฒนา Digital Platform โดยสิ่งแรกคือเรื่องของเครือข่าย ซึ่ง AIS เป็นเครือข่ายที่เรียกได้ว่าเร็วที่สุดด้วยความเร็วระดับ 1Gbps ผ่านระบบ NEXTG อันดับต่อมาคือระบบโครงสร้างไฟเบอร์ออพติกอย่าง Fixed Line หรือที่เรารู้จักในชื่อ AIS Fibre พร้อมให้บริการอินเตอร์เน็ตทั้งในบ้านและนอกบ้าน
สุดท้ายคือการพัฒนาแอพพลิเคชั่นแพลตฟอร์ม (Application Platform) ซึ่งได้เตรียมไว้ 3 เรื่องทั้ง Video Platform โดยแบ่งเป็น 2 ส่วนทั้ง Free Content ลูกค้า AIS สามารถชมรายการฟรีได้ทันที ขณะที่ Premium Content เป็นรายการที่ต้องเสียเงินเพื่อรับชม โดยปีนี้ AIS ได้ซื้อลิขสิทธิ์ของ Cartoon Network และ CNN พร้อมทั้งเปิดตัวแพลตฟอร์ม “Play 365” โดยจะรับสมัครคนหรือทีมงานจำนวน 365 ทีมเพื่อนำเสนอรายการ โดย AIS จะสนับสนุนเงินบางส่วนในการผลิต และหากเป็นที่ชอบของผู้ชมก็จะแบ่งรายได้
VR Platform เป็นอีกแพลตฟอร์มที่ AIS ต้องการสร้างขึ้นเพื่อให้มีการพัฒนา Content ในด้าน VR ซึ่งเป็นความร่วมมือของพันธมิตรอย่าง IMAX สามารถรับชมได้ที่สยาม พารากอน นอกจากนี้ยังได้ร่วมมือกับ IMAX ในการจัด AIS VR Creator Program เพื่อเฟ้นหาผู้ผลิตเนื้อหาทางด้าน VR
และ IoT Platformจะเป็นแพลตฟอร์มที่จะสามารถช่วยให้เกิดบ้านอัจฉริยะ ซึ่ง AIS ได้ลงทุนด้านเน็ตเวิร์คด้วยการลงทุน NBIoT โดยจะใช้เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตกับอุปกรณ์ที่ตั้งอยู่กับที่หรือมีการเคลื่อนไหวน้อย ขณะที่ในปีนี้มีการลงทุนเพิ่มขึ้นกับระบบ eMTC ซึ่งระบบนี้จะใช้เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตกับอุปกรณ์ที่มีการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว เช่น Smart Watch เป็นต้น และระบบ LTE หรือ NEXTG ที่ใช้กับ Smartphone และกำลังจะขยายระบบทั้งหมดนี้ไปทั่วประเทศ