หลังสถานการณ์การลงทุนใน Cryptocurrency สกุลเงินดิจิทัลโดยเฉพาะสกุลเงิน Bitcoin ที่รู้จักเป็นอย่างดีทั่วโลก กำลังจะส่งผลต่อนักลงทุนเมื่อมูลค่าเริ่มมีความผันผวน และมีแนวโน้มว่าจะมีนักลงทุนหน้าใหม่หันมาสนใจการลงทุนกับ Cryptocurrency มากขึ้นจนอาจไม่สามารถยับยั้งการลงทุนได้ ซึ่งอาจมีโอกาสที่ส่งผลให้เกิดปรากฎฟองสบู่แตก เหมือนเช่นวิกฤติต้มยำกุ้งที่ผ่านมาได้
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องระบบการเงินของประเทศจึงได้ออกจดหมายขอความร่วมมือกับสถาบันการเงินต่างๆ โดยมีใจความว่า
“ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เล็งเห็นถึงประเด็นปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอเรนซี โดยเฉพาะอย่างยิ่งคริปโตเคอเรนซีที่ไม่สามารถระบุผู้ออกได้อย่างชัดเจน หรือไม่มีสินทรัพย์ค้ำประกันตามมูลค่าหรือไม่มีสินทรัพย์อ้างอิง ธปท. จึงขอความร่วมมือสถาบันการเงินทุกแห่ง ไม่ให้ทำธุรกรรมหรือมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอเรนซี ในกรณีดังต่อไปนี้
1. การเข้าไปลงทุนหรือซื้อขายในคริปโตเคอเรนซีเพื่อผลประโยชน์ของสถาบันการเงินเองหรือผลประโยชน์ของลูกค้า
2. การให้บริการรับแลกเปลี่ยนคริปโตเคอเรนซีผ่านช่องทางให้บริการของสถาบันการเงิน
3. การสร้างแพลตฟอร์ม (Platform) เพื่อเป็นสื่อกลางให้ลูกค้าเข้าไปทำธุรกรรมเกี่ยวกับคริปโตเคอเรนซีระหว่างกัน
4. การให้ลูกค้าใช้บัตรเครดิตในการซื้อคริปโตเคอเรนซี
5. การสนับสนุนหรือให้คำปรึกษากับลูกค้าเกี่ยวกับการลงทุนหรือการแลกเปลี่ยนคริปโตเคอเรนซี
นอกจากนี้ ธปท. ขอให้สถาบันการเงินทุกแห่งเพิ่มความระมัดระวังการให้บริการด้านเงินฝากและด้านสินเชื่อที่เกี่ยวข้องกับการเปิดบัญชี หรือการใช้บัญชีที่อาจนำไปสู่การทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอเรนซี โดยขอให้สถาบันการเงินถือปฏิบัติในเรื่องการรู้จักตัวตนของลูกค้า (Know Your Customer : KYC) และดำเนินการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า (Customer Due Diligence : CDD) อย่างเคร่งครัด ตามกฎหมายและประกาศที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนแนวปฏิบัติที่ทางการอาจกำหนดเพิ่มเติมต่อไป”
ทั้งนี้ปัจจุบันการซื้อขาย Cryptocurrency อยู่ในระบบเปิด ซึ่งยังไม่มีกฏหมายสามารถเข้าไปควบคุมได้ ทำให้การลงทุนใน Cryptocurrency มีความเสี่ยง
Source: ธนาคารแห่งประเทศไทย