แม้ตลาดเบียร์ในบ้านเรา จะมีการแข่งขันที่ร้อนแรง แต่ด้วยการนำเสนอประสบการณ์ใหม่ๆ ทั้งโปรดักท์และการตลาดที่ตอบทุกโจทย์ความต้องการของคนยุคใหม่ นับตั้งแต่ ‘ช้าง’ และ ‘เฟเดอร์บรอย’ มีการปรับโฉมภาพลักษณ์และเปลี่ยนสูตร จนกระทั่งสามารถช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาดมาได้ นอกจากนี้ในส่วนของเบียร์ช้างยังคงสามารถครองความเป็นอันดับหนึ่งในใจผู้บริโภค (Top of mind) ถึงสองปีซ้อน จากผลสำรวจของ IPSOS บริษัทวิจัยชั้นนำระดับโลกอีกด้วยเรามาดูกันว่าอะไรคือรหัสลับความสำเร็จของแบรนด์ช้างและเฟเดอร์บรอยด์ เพื่อก้าวไปให้ถึงเป้าหมายใหญ่ กับการเป็นผู้นำอันดับหนึ่งของตลาดเบียร์ทั้งในไทยและอาเซียนภายในปี 2563
ชูนวัตกรรมบุกตลาด
สำหรับจุดเด่นของ ‘ช้าง’ และ ‘เฟเดอร์บรอย’ ก็คือ ตัวผลิตภัณฑ์ ทั้งการดีไซน์บรรจุภัณฑ์มีความพรีเมี่ยม ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่ และคุณภาพที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล
โดย ‘ช้าง’ สร้างความแข็งแกร่ง ผ่าน Experience Marketing การสร้างประการณ์ตรงกับกลุ่มมิลเลนเนียล ด้วยกิจกรรมทางการตลาดที่มีสีสัน เพื่อสร้างการรับรู้อย่างต่อเนื่องและกระตุ้นยอดขาย ไม่ว่าจะเป็น งานอาหาร Chang Sensory Trails ที่จัดขึ้นทั่วประเทศ งานคอนเสิร์ต Chang Music Connection ที่จับมือกับพันธมิตรจัดหนักจัดเต็มแทบจะทุกสัปดาห์ และรวมถึง Chang Carnival ที่สร้างประสบการณ์ที่แตกต่าง
พร้อมตอกย้ำการเป็นผู้นำนวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ กับการครีเอท ‘Limited Edition’ จับมือดีไซเนอร์ระดับโลกให้มาร่วมออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อการเฉลิมฉลองในช่วงเทศกาล
อย่างล่าสุดได้ ‘มร.สตีเวน วิลสัน’ นักวาดภาพประกอบ (Illustrator) ชื่อดังจากประเทศอังกฤษมาออกแบบบรรจุภัณฑ์พิเศษที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก Golden Moment บนบรรจุภัณฑ์ ‘ช้าง ลิมิเต็ด เอดิชั่น’ ใน 2 รูปแบบ ได้แก่ ขวดแก้วชริ้งค์แร็พ (Shrink Wrap) และ ไอซ์ แพ็ค (Ice Pack) นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์สุดล้ำในรูปแบบแพ็ค 6 กระป๋อง ที่สามารถเติมน้ำแข็งเพื่อแช่เย็นได้ทันที ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของกลุ่มมิลเลนเนียลที่ชื่นชอบการสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อนได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ ได้ออกผลิตภัณฑ์ในบรรจุภัณฑ์ขนาด 1.5 ลิตร (Champagne Bottle) ที่มีรูปทรงและดีไซน์สุดหรูหรา สไตล์พรีเมี่ยม มาให้ทุกคนได้เลือกสรร ทำให้ภาพรวมของเบียร์ช้างดูแตกต่าง ทันสมัย น่าจับต้องมากยิ่งขึ้น
ขณะที่ ‘เฟเดอร์บรอย’ หลังจากปรับภาพลักษณ์เห็นได้ชัดผ่านผลิตภัณฑ์และฉลากให้ดูทันสมัย สำหรับสร้างความโดดเด่นในระดับพรีเมียมสไตล์เบียร์เยอรมัน ก็ได้จัดกิจกรรมการตลาดที่มีสีสันและน่าสนใจ อาทิ ‘เฟเดอร์บรอย เรด เฟเธอร์ คลับ’ (Federbräu Red Feather Club) ที่มอบประสบการณ์เอ้าท์ดอร์ป๊อบอัพคลับสุดพรีเมี่ยม เจาะกลุ่มผู้บริโภคที่ชื่นชอบประสบการณ์อาหารและเครื่องดื่มในสไตล์เยอรมัน ทำให้เฟเดอร์บรอยสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในระดับพรีเมี่ยมได้โดยตรง
ทั้งนี้ เฟเดอร์บรอยได้กระจายสู่ช่องทางจำหน่ายต่างๆ ทั่วประเทศตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ปี 2560 และวางจำหน่ายในต่างประเทศ โดยเน้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นตลาดหลัก ซึ่งได้รับการตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดี ทำให้ยอดขายเติบโตอย่างก้าวกระโดด กว่า 338% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา
คว้ารางวัลระดับโลกการันตีความสำเร็จ
ความสำเร็จของ ‘ช้าง’ และ ‘เฟเดอร์บรอย’ ยังมีรางวัลจากเวทีการประกวดเบียร์ระดับโลกเป็นตัวการันตี โดยแบรนด์ช้างคว้ารางวัลชนะเลิศของประเทศไทย จากเวที World Beer Awards 2017 ในการแข่งขันประเภทเบียร์ ลาเกอร์ (Lager Beer) ภายใต้สไตล์การผลิตเบียร์แบบ Helles/Münchner
ส่วน ‘เฟเดอร์บรอย’ สามารถคว้ารางวัลประเภทเบียร์ลาเกอร์ (Lager Beer) สไตล์ German Style Pale Ale จากเวที World Beer Awards 2017และได้รับรางวัลการออกแบบบรรจุภัณฑ์จาก The International Beer Challenge ปี 2560 ด้วย
“ทั้งสองแบรนด์มีภาพรวมความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ ทั้งจากการได้รับรางวัลจากเวทีประกวดเบียร์ระดับโลก และได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคเห็นได้จาก 2 เดือนที่ผ่านมายอดขายเพิ่มขึ้นติดต่อกัน” มร.เอ็ดมอนด์ เนียว คิมซูน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าว
เดินหน้าขึ้นเป็นผู้นำตลาดเบียร์ ในปี 2563
สำหรับภาพรวมของตลาดในปี 2561 มร.เอ็ดมอนด์ บอกว่า ตลาดในประเทศจะกลับมาคึกคักยิ่งขึ้น เนื่องจากบรรยากาศของการเฉลิมฉลอง และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่เริ่มฟื้นตัว รวมถึงจากการแข่งขันของผู้ประกอบการรายต่าง ๆ ในตลาด
ส่วนนโยบายของ ‘ช้าง’ และ ‘เฟเดอร์บรอย’ ยังมุ่งมั่นเปิดตัวนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่เข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการเดินหน้าแคมเปญการตลาด เพื่อช่วยสร้างสีสันให้กับตลาดและสร้างเซอร์ไพร์สให้ผู้บริโภค โดยเน้นการเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในใจผู้บริโภค หรือ Top of mind ในการช่วยผลักดันยอดขายให้เป็นเบียร์อันดับหนึ่งในตลาด ภายในปี 2563 ตามวิสัยทัศน์ 2020 ของทางบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด(มหาชน) ที่ตั้งเป้าหมายเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในประเทศไทยและอาเซียนภายในปี 2020