ท่ามกลางภาวะเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นดิจิทัล ที่กำลังถาโถมและรายล้อมอยู่รอบตัวเรา การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้งานไม่ว่าจะด้วยวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวก ถูกใจความง่ายและรวดเร็ว หรือต้องการเป็นต้นแบบการใช้เทคโนโลยีสู่ยุค Mobility รองรับการใช้งานด้วยรูปแบบสุด Flexible ก็ตามที แต่อุปกรณ์ที่อยู่รอบตัวคุณก็ยังไม่ใช่เทคโนโลยีล้ำสมัยไปเสียทั้งหมด โดยเฉพาะอุปกรณ์สำนักงานอย่าง Printer ซึ่งยังคงอยู่ในรูปลักษณ์ที่เราคุ้นเคย
แต่ความต้องการใช้งานที่ไม่เคยหยุดและเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยของผู้บริโภค ก็มีนวัตกรรมเข้ามาช่วยตอบโจทย์และเพิ่มเติมคุณสมบัติ ทำให้ Printer ในปัจจุบันไม่ได้ทำหน้าที่แค่ Print อีกต่อไป แต่ครบเครื่องด้วยฟังก์ชั่นหลากหลาย ทั้ง Print , Scan , Copy , Fax,Wifi เรียกง่ายๆ ว่ารองรับการใช้ภายในสำนักงานได้ครบถ้วน จบในเครื่องเดียว ช่วยประหยัดต้นทุนการจัดซื้อ รวมถึงพื้นที่การจัดวางและดูแลรักษาสะดวก
เรื่องนี้ถือเป็น Demand & Supply ที่น่าสนใจ ในขณะที่หลายคนมองภาพ Printer ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่จำเป็นในยุคดิจิทัล แต่แบรนด์ผู้ผลิตและจำหน่าย Printer กลับทยอยเปิดตัวผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ซ้ำยังมีให้เลือกหลากซีรีส์ๆ ละหลายรุ่น สะท้อนถึงความน่าสนใจและโอกาสที่เกิดขึ้น…
ออฟฟิศยุคใหม่ กับ หลักความคุ้มค่า
อาจเพราะธุรกิจ หมายถึง การดำเนินงานที่มีต้นทุนยิบย่อย กว่าจะเกิดรายได้หรือกำไรขึ้นมาซักก้อนก็เท่ากับว่ามีการลงทุนอะไรต่อมิอะไรไปมากแล้วนั่นเอง ดังนั้น การลงทุนที่สามารถมอบความคุ้มค่าให้กับเจ้าของกิจการ เป็นผลดีต่อองค์กร ก็เท่ากับ…ทางเลือกที่น่าสนใจ จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ผลิตภัณฑ์ที่ออกสู่ตลาดในปัจจุบันจะเน้นคำว่า “ครบถ้วน” และ “คุ้มค่า” เพื่อเรียกความสนใจจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย โดยเฉพาะการที่สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายให้อยู่ในเกณฑ์ที่บริษัทพึงพอใจ พร้อมจ่ายเพราะเล็งเห็นความคุ้มค่าในการเลือกลงทุนกับสิ่งนั้น ยิ่งกลายเป็นปัจจัยอันดับแรกๆ ที่ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อเลยทีเดียว
เมื่อตลาดแข่งขันเดือด นวัตกรรมต้องเด่น
แม้พวกเราจะอยู่ในยุคที่ใครต่อใครพากันย้ำคำว่า Paperless และ Digital Platform แต่การใช้งาน Printer ก็ไม่เคยลดลง เมื่อวัฏจักรการใช้กระดาษ เอกสาร หรือแม้แต่การใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติด้านอื่น เช่น การส่ง Fax , Scan ภาพและเอกสาร , การทำสำเนา ก็ยังใช้งานกันเป็นปกติในทุกสำนักงาน นี่จึงกลายเป็นกลยุทธ์ที่แบรนด์ Printer ต้องพัฒนาให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้จริงและโดดเด่นกว่าคู่แข่ง
ในช่วงนี้ เรายังเห็น Epson ซึ่งเป็นหนึ่งในแบรนด์ผู้นำของตลาด Printer เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงกลุ่มล่าสุด L Series พร้อมการนำเสนอจุดเด่นที่มาพร้อมนวัตกรรมเพื่องานพิมพ์และการใช้ในสำนักงานซึ่งทำตลาดพร้อมกันรวดเดียวถึง 5 รุ่น คือ L4150 , L4160 , L6160 , L6170 และ L6190 เพื่อเจาะกลุ่มคอร์ปอเรท SME โซโฮ และสถาบันการศึกษา โดยทุกรุ่นสามารถรองรับการใช้งาน 3 ฟังก์ชั่นเด่น อาทิ Print , Scan , Copy ได้ทั้งหมด ถือเป็นการตอบโจทย์ความคุ้มค่านอกจากคุณสมบัติงานพิมพ์เอกสาร พร้อมด้วยระบบหมึกแบบแท๊งค์ที่เติมง่ายไม่หกเลอะเทอะช่วยลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในการเติมหมึกพิมพ์ รวมถึงคุณสมบัติพิเศษอย่างการเลือกพิมพ์แบบเต็มหน้ากระดาษ A4 เข้ามาใน Printer ทั้ง 5 รุ่นดังกล่าว
วางกลยุทธ์รุ่นท็อปตอบโจทย์ครอบคลุม
ขณะเดียวกัน Epson ยังเลือกสร้างความแตกต่างในการทำตลาดให้กับรุ่น L6190 ซึ่งมีคุณสมบัติการพิมพ์ 2 หน้าอัตโนมัติ (Auto Duplex) เอกสิทธิ์ของแบรนด์ Epson ซึ่งเป็นรายเดียวที่มีคุณสมบัติดังกล่าว ทำให้ผู้ใช้งานสามารถประหยัดต้นทุนการพิมพ์ ทั้งในส่วนของค่าหมึกและค่ากระดาษได้ถึง 50% รวมถึงขวดหมึกแบบใหม่ที่เป็นระบบสูญญากาศช่วยให้ใช้งานง่ายไม่หกเลอะเทอะและมีตัวล็อกที่ช่องเติมหมึกสีโดยเฉพาะช่วยป้องกันการเติมหมึกผิดสี พร้อมด้วยเทคโนโลยีรองรับงานพิมพ์และคุณสมบัติอื่นๆ อาทิ หัวพิมพ์ PrecisionCore สำหรับงานพิมพ์คุณภาพ ประสิทธิภาพเร็วสูง 15/8 ipm รวมถึงการออกแบบให้มีขนาดกะทัดรัดด้วยชุดแท๊งค์ใหม่แบบติดในเครื่องพิมพ์ ทำให้ L6190 มีขนาดเล็กที่สุดในบรรดาเครื่องแท๊งค์แท้ทุกรุ่น
นอกจากนี้ L6190 ยังสามารถต่อเชื่อมต่อ Printer ผ่านมือถือ และรองรับการต่อเชื่อมได้ 4 อุปกรณ์พร้อมกัน ทำให้สามารถพิมพ์และสแกนได้อย่างอิสระจากมือถือ รวมถึง Fax และเทคโนโลยี ADF รองรับกระดาษสูงสุด 30 แผ่นและรองรับความจำ Fax ได้ถึง 100 แผ่น และเทคโนโลยี Epson Connect รองรับการพิมพ์ผ่านมือถือ พร้อมกับการใช้งาน Epson iPrint, Email Print,Remote Print Driver และ Scan to Cloud ได้ครบภายในเครื่องเดียว ทำให้ L6190 มีคุณสมบัติตอบโจทย์การใช้งาน Printer ได้ครบถ้วนมากกว่ารุ่นอื่นในซีรีส์เดียวกัน
ใส่ใจบริการหลังขาย เพิ่มความเชื่อมั่นให้แบรนด์
ไม่ใช่แค่เรื่องคุณภาพและเทคโนโลยีที่ Epson ใช้เป็นกลยุทธ์หลักเพื่อสร้างความแตกต่างให้ผลิตภัณฑ์และแบรนด์ แต่อีกกลยุทธ์ที่เราเห็น คือ เรื่องบริการหลังการขายและระยะเวลาการรับประกัน ซึ่งปัจจุบันได้ขยายเวลาเป็น 2 ปี เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ลูกค้า รวมถึงในหลายๆ รุ่นซึ่งมีการรับประกันจำนวนการพิมพ์ตั้งแต่ 30,000-50,000 แผ่น นอกจากนี้ยังได้ออกแบบช่องซับหมึกแบบใหม่ ให้ผู้ใช้งานสามารถเปลี่ยนได้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องนำไปให้ศูนย์บริการแก้ไขในแบบอดีตอีก เพิ่มความสะดวกสบายในการดูแลรักษาให้กับผู้ใช้งานได้อย่างลงตัว
ทั้งเทคโนโลยีและกลยุทธ์ที่ Epson สะท้อนออกมาสู่ L Series ถือเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ผลิตภัณฑ์และแบรนด์อย่างชัดเจน โดยเฉพาะความคุ้มค่าที่มาพร้อมนวัตกรรม ซึ่งถูกต่อยอดเพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งและตอบสนองความต้องการใช้งานภายในออฟฟิศแบบครบครัน นำไปสู่การรักษาอันดับผู้นำตลาด Printer อย่างต่อเนื่อง ต่อไป.