[ข่าวประชาสัมพันธ์]
ถึงคราวเวชสำอางไทยสำแดงเดช! เปิดตัว บริษัท เมย์เอเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ผลิตเครื่องสำอาง ภายใต้ชื่อแบรนด์ เมย์เอเวอร์ ไทยแลนด์ (MAYEVER THAILAND) ผู้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มุ่งตอบโจทย์ แผนยุทธศาสตร์ประชารัฐและไทยแลนด์ 4.0 นำร่องด้วยการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดูแลผิวโดยใช้วัตถุดิบทางการเกษตรไทยเป็นสิ่งสำคัญ เปิดตัวเวชสำอางนวัตกรรมใหม่ จุดเด่นสกัดจากสินค้าเกษตรเกรดพรีเมี่ยม มะละกอ, ชานอ้อย และ เปลือกมังคุด ออกสู่สายตาเป็นครั้งแรก เตรียมวางขายทั้งไทยและต่างประเทศ ภายในงานได้รับเกียรติจาก ท่านสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน กล่าวสนับสนุนแนวคิด พร้อมให้แนวทางผู้ประกอบการอื่นๆ ร่วมกันผลักดันและส่งเสริมสินค้าเกษตรของไทยและเกษตรอินทรีย์ ช่วยเพิ่มมูลค่าและสร้างรายได้เข้าประเทศ ด้านเหล่านักแสดง หลิน-มชณต สุวรรณมาศ และ อ.เจี๊ยบ-ฐาน ธัญศญาพร สเปเชี่ยล เอฟเฟคต์ เมคอัพ อาร์ทิสต์ ขานรับ สาธิตวิธีใช้ ทดสอบประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ที่ให้ผลลัพธ์อย่างน่าทึ่ง (วันที่ 18 ธ.ค. 2560 ณ ห้องแซฟไฟร์ 2-3 ชั้น 3 โรงแรมริชมอนด์ สไตลิช คอนเวนชั่น โฮเทล)
คุณนภัทร ภัทรเดชากูล, คุณวิภาวี เสนอศักดิ์ และ แพทย์หญิงสุขุมาลย์ สว่างวารี สามผู้ก่อตั้ง เมย์เอเวอร์ ไทยแลนด์ (MAYEVER THAILAND) เจ้าของแนวคิด ผู้จุดกระแสการสกัดเอนไซม์จากผลไม้เป็นเครื่องสำอาง สร้างนวัตกรรมจากไร่สู่ใบหน้า เริ่มต้นด้วย มะละกอ, ชานอ้อย และ เปลือกมังคุด เผยว่า
“จุดเริ่มต้นของผลิตภัณฑ์ดูแลผิวภายใต้แบรนด์ เมย์เอเวอร์ ไทยแลนด์ (Mayever Thailand) ของบริษัทเมย์เอเวอร์ อินเตอร์แนชั่นแนล จำกัด (Mayever International Co., Ltd) เกิดจากการที่ทุกคนที่บ้านใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อดูแลผิวซึ่งก็มีหลายชิ้นที่ผลิตจากต่างประเทศและมีราคาสูงและบางชนิดก็มีสารเคมีเป็นส่วนประกอบ เมื่อใช้ไปสักระยะหนึ่งรู้สึกว่าผิวหยาบกร้านขึ้น จึงคุยกันว่าอยากจะมีผลิตภัณฑ์ที่สามารถดูแลสุขภาพผิวที่อ่อนโยนต่อผิว และมีสารสกัดที่ดีจากธรรมชาติ เริ่มที่จะมองหาสารสกัดจากธรรมชาติจากงานวิจัยของคนไทย จึงเจอสารสกัดจากผลิตผลทางการเกษตรของไทยซึ่งหลายๆ ท่านอาจจะมองข้าม ทางบริษัทได้ทำงานร่วมกับฝ่ายผลิตในการนำสารสกัดที่ผ่านเทคโนโลยีขั้นสูงมาพัฒนาจนเป็นนวัตกรรมสำหรับการดูแลผิวพรรณ เรียกได้ว่าเราได้พัฒนาผลิตภัณฑ์จากไร่สู่ใบหน้า”
“นอกจากนั้นทางบริษัทมีเป้าหมายที่จะนำผลิตภัณฑ์เมย์เอเวอร์ไปจำหน่ายยังประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดที่มีความชื่นชอบผลิตภัณฑ์ของไทยเป็นอย่างมาก การผลิตที่มีคุณภาพนอกจากจะทำให้ผลิตภัณฑ์ของไทยเป็นที่รู้จักแล้วยังสามารถนำรายได้เข้าสู่ประเทศสามารถสร้างรายได้ให้กับคนไทยได้ เพราะกระบวนการวิจัย ผลิต บรรจุและการขนส่งทำโดยคนไทยทั้งหมด”
นวัตกรรมจากไร่สู่ใบหน้า
จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ เมย์เอเวอร์ ไทยแลนด์ (Mayever Thailand) นอกจากเป็นสินค้าเกษตร สกัดเอนไซม์จากผลไม้ ซึ่งเป็นจุดเด่นเฉพาะแล้ว บริษัทฯ ยังวางกลยุทธ์ให้มีจุดแข็งในเรื่องของ ราคาไม่สูง, ประสิทธิภาพดี และมีความปลอดภัยอย่างมาก เหมาะกับผิวชาวเอเชียอย่างยิ่ง
ในเบื้องต้นเราคิดค้นผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับลูกค้าทั้งสามกลุ่มคือ Mayever AcNev Serum (ซีรั่มเพื่อหน้าอ่อนใส ไร้สิวจากเอนไซม์ เปลือกมังคุด) สำหรับกลุ่มวันรุ่นที่มีปัญหาเรื่องสิวและริ้วรอยที่เกิดจากสิว Mayever White Ever Serum (ซีรั่มบำรุงผิวหน้าเพื่อหน้าไร้ริ้วรอย อ่อนเยาว์ สูตรเข้มข้น สกัดจากยีสต์หมักจาก ชานอ้อย) สำหรับกลุ่มคนทำงานที่ต้องการดูแลเรื่องความกระชับของผิวหน้าและริ้วรอยจากการทำงานหรืออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์และแสงสีฟ้าจากโทรศัพท์มือถือต่างๆ อีกทั้งกลุ่มที่ต้องการทำความสะอาดผิวหน้าอย่างลึกซึ้งซึ่งทั้งผู้หญิงและผู้ชายก็สามารถใช้ Mayever Absolute Deeper Cleanser (สัมผัสประสบการณ์ใหม่แห่งการทำความสะอาด สะอาดหมดจด เจลล้างหน้าผสมของสารสกัดจาก ผลมะละกอ) ได้ โดยทางบริษัทหวังว่าผลิตภัณฑ์ 3 ชนิดแรกจะเป็นที่ต้องการและสามารถแก้ปัญหาผิวพรรณของคนทั้ง 3 กลุ่มได้
แผนชิงแชร์ สู้ศึกตลาด skin care 70,000 ล้าน
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ดูแลผิวออกสู่ตลาดจำนวนมากและมีการแข่งขันค่อนข้างสูง สินค้าบางประเภทเกิดจากการสร้างแบรนด์ของผู้ผลิตรายย่อยที่ใช้วัตถุดิบที่หาได้โดยทั่วไปและอาจมีสารเคมีปนเปื้อนเนื่องจากสารเคมีบางอย่างให้ผลทันที เช่นกลุ่มผลิตภัณฑ์เร่งผิวขาวซึ่งอาจมีการปนของสารปรอท และสารอื่นๆ ซึ่งเมื่อใช้ไประยะหนึ่งการเกิดปัญหาผิวตามมา ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเมย์เอเวอร์ ไทยแลนด์ (Mayever Thailand) เป็นผลิตภัณฑ์ที่นอกจากจะมาจากธรรมชาติและเป็นผลผลิตจากการเกษตรของไทยแล้ว เมย์เอเวอร์ ไทยแลนด์ยังผ่านกระบวนการจากห้องทดลอง และมีการทดสอบกับคนจริงๆ โดยไม่ทดลองกับสัตว์แล้วว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ระคายเคืองต่อผิว กระบวนการผลิตของเมย์เอเวอร์มีการสกัดเอนไซม์ของสารสกัดจากผลไม้ไทยเช่น มังคุด มะละกอและยีสท์ที่เกิดจากการหมักชานอ้อย ที่ผ่านการทดสอบแล้วว่ามีประสิทธิภาพในการดูแลผิวพรรณที่มีคุณภาพสูงเทียบเท่าผลิตพรรณราคาสูงจากต่างประเทศ แต่เมย์เอเวอร์เหมาะกับผิวคนไทยและคนเอเชียมากกว่าผลิตภัณฑ์ที่มาจากประเทศเมืองหนาว
ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเมย์เอเวอร์ ไทยแลนด์ (Mayever Thailand) เป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติและเป็นผลผลิตจากการเกษตรของไทย ซึ่งทางผู้บริหารคิดว่าการเจิญเติบโตยังคงเป็นไปในทางบวก จากสถิติของปีปัจจุบัน (2017) ตลาดดูแลผิวพรรณเติบโต 6.1% โดยผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าเป็นตลาดที่ใหญ่ด้วยสัดส่วนมากกว่า 3 ใน 4 ของตลาดรวมทั้งหมดโดยมีมูลค่ารวมทั้งสิ้นถึง 70,000 ล้านบาทและ แนวโน้มผู้บริโภคที่ใช้เครื่องสำอางจะเด็กลงเรื่อยๆ โดยเริ่มตั้งแต่อายุ 12-14 ปี ซึ่งมีแนวโน้มในทางบวก
จากการสำรวจตลาด คนจีนมีความชื่นชอบผลิตภัณฑ์ของคนไทยมาก รัฐบาลยังมีนโยบายเดินหน้าผลักดันให้มีการผลิตสินค้าเกษตรนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เช่น การส่งเสริมการเพาะปลูกสินค้าเกษตรอินทรีย์ ส่งเสริมการต่อยอดงานวิจัย นวัตกรรมกับสินค้าเกษตร เพื่อให้เกิดสร้างความหลากหลายและมูลค่าเพิ่ม และจัดหาช่องทางจำหน่ายสินค้าเกษตรนวัตกรรมทั้งในและต่างประเทศ ทางบริษัทจึงเห็นว่าช่องทางในการจัดจำหน่ายยังมีอยู่อีกมาก
มั่นใจมีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน
เนื่องจากตลาดการดูแลสุขภาพและผิวพรรณเป็นตลาดที่นับวันยิ่งกว้างขึ้น แนวโน้มผู้บริโภคเริ่มตั้งแต่อายุ 12-14 ปี ซึ่งมีแนวโน้มในทางบวกไปจนวัยเกษียนอายุ ผลิตภัณฑ์ของเมย์เอเวอร์ในเบื้องต้นมุ่งวิจัยและผลิตผลิตภัณฑ์ที่เน้นกลุ่มวัยรุ่น ตั้งแต่อายุ 12-14 ปีซึ่งเป็นวัยที่เริ่มเป็นสิวและต้องการตัวช่วยที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัยและราคาไม่สูง ในขณะเดียวกันกลุ่มคนทำงานที่กังวลเรื่องริ้วรอยและความเรียบเนียน ใส ของใบหน้าและต้องการผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติก็เป็นอีกกลุ่มที่เมย์เอเวอร์ให้ความสำคัญ
อย่างไรก็ตามบริษัทเมย์เอเวอร์ อินเตอร์แนชั่นแนล ก็กำลังทำการค้นคว้าวิจัยผลิตภัณฑ์สำหรับการดูแลผิวของผู้ชาย ซึ่งคาดว่าจะสารมารถนำสู่ตลาดได้ในช่วงกลางปี 2018 ในชื่อ Mayever Men Forever Trend
กลยุทธ์การทำตลาดและช่องทางการจัดจำหน่าย
ในเบื้องต้นทางบริษัทฯ ได้มองว่าช่องทางการทำการตลาดออนไลน์กำลังเป็นที่นิยมเนื่องจากเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายและช่วยให้ผู้บริโภคที่ไม่มีเวลาในการเดินทางไปยังห้างสรรพสินค้าหรือร้านค้า สามารถสั่งซื้อได้ ในปัจจุบัน บริษัทเมย์เอเวอร์ อินเตอร์แนชั่นแนล จำกัด ได้เปิดช่องทางการสั่งสินค้าได้ที่ www.mayeverthailand.com Facebook Fanpage MayeverThailand Lazada และ Shopee เรียบร้อยแล้ว ในอนาคตทางบริษัทฯ คิดว่าจะมีการทำการจำหน่ายผ่าน Modern Trade มากขึ้น และนักท่องเที่ยวก็สามารถซื้อได้ทั้งในส่วนของร้านสะดวกซื้อและ Mayever มีแผนที่จะนำสินค้าของเราที่มีในปัจจุบันและที่จะเกิดเพิ่มเข้าสู่ King Power เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถซื้อได้สะดวกยิ่งขึ้น
ปัจจุบัน บริษัทฯ กำลังเพิ่มช่องทางการรับรู้ โดยล่าสุดได้ผลิตหนังโฆษณาจำนวน 3 เรื่องสำหรับ 3 ผลิตภัณฑ์แรก เพื่อลงสู่สื่อออนไลน์ และคาดว่าภายในไตรมาสแรกของปี 2018 เราจะขยายช่องทางการรับรู้สู่สื่อวิทยุและโทรทัศน์มากขึ้น ในขณะเดียวกัน ลูกค้าก็สามารถหาข้อมูลผลิตภัณฑ์ของ Mayever ได้ ผ่านทาง เว็บไซต์ IG Twitter Facebook Line@ และ Youtube Channel ของ MayeverThailand ได้อีกด้วย
ภาครัฐสนับสนุน จุดประกายสินค้าเกษตรไทย
เนื่องจากนโยบายของภาครัฐในปัจจุบันคือการสร้างภาพลักษณ์สินค้าไทย เป็นสินค้าที่มีมาตรฐาน มีคุณภาพ เป็นที่ยอมรับในระดับสากล และสินค้าเกษตรของไทยยังมีอนาคตสูงมาก ทางบริษัทจึงเห็นว่าการเชื่อมโยงแหล่งผลิตสู่ตลาด การพัฒนาแบรนด์ไทยสู่สากล (Nation Brand) โดยยกระดับมาตรฐานการรับรองให้ครอบคลุมในทุกด้าน ทั้งด้านมาตรฐานการผลิต การออกแบบบรรจุภัณฑ์ คุณภาพตลอดการขนส่ง รวมถึงมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่สำคัญ
นอกจากนี้ ทางรัฐบาลยังมีนโยบายเดินหน้าผลักดันให้มีการผลิตสินค้าเกษตรนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เช่น การส่งเสริมการเพาะปลูกสินค้าเกษตรอินทรีย์ ส่งเสริมการต่อยอดงานวิจัย นวัตกรรมกับสินค้าเกษตร เพื่อให้เกิดสร้างความหลากหลายและมูลค่าเพิ่ม และจัดหาช่องทางจำหน่ายสินค้าเกษตรนวัตกรรมทั้งในและต่างประเทศให้กับผู้ประกอบการภายในประเทศด้วย
ด้วยเหตุนี้ทางผู้บริหารจึงมองเห็นโอกาสในการเติมโตของผลิตภัณฑ์ดูแลผิวโดยใช้วัตถุดิบทางการเกษตรไทยเป็นสิ่งสำคัญและได้ริเริ่มการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้ชื่อ เมย์เอเวอร์ ไทยแลนด์ (Mayever Thailand)
เรามองตลาดภายในประเทศทั้งในส่วนกลางและภูมิภาคเป็นเป้าหมายหลัก และตั้งเป้าว่าภายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2018 เราจะมีการทำการส่งออกไปยังประเทศในกลุ่ม AEC และประเทศจีนก็เป็นอีกหนึ่งปลายทางหลัก ซึ่งในส่วนนี้ทางรัฐบาลเองก็ได้ส่งเสริมให้ภาคเอกชนไทยได้นำสินค้าไทยส่งออกเพื่อเพิ่มรายได้เข้าสู้ประเทศ ทำให้เกิดการจ้างงานภายในประเทศมากขึ้น และยังช่วยให้เกษตรกรไทยสามารถเพิ่มมูลค่าจากผลผลิตทางการเกษตรไทยได้มากขึ้นอีกด้วย
[ข่าวประชาสัมพันธ์]