อย่างที่เราเห็นกันว่า…คนไทยนิยมใช้บริการจัดส่งอาหาร (Food Delivery) อย่างแพร่หลาย ทำให้ร้านรวงดังๆ หรือแม้แต่แบรนด์ยอดนิยมต่างหันมาเปิดช่องทางเสิร์ฟอาหารถึงตัวลูกค้าได้แบบทุกที่ทุกเวลา ขยายโอกาสทางธุรกิจเข้าสู่บริการจัดส่งด่วนโดยปรับช่องทางให้ผู้บริโภคสะดวกที่สุด ทำทุกอย่างจบได้บนมือถือเครื่องเดียวตั้งแต่เลือกเมนู สั่ง จ่ายเงิน แล้วก็นั่งรออาหารมาเสิร์ฟถึงประตูบ้าน
ฟาสต์ฟู้ดแบรนด์อย่าง BURGER KING ก็เช่นกัน โดยคุณประพัฒน์ เสียงจันทร์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เบอร์เกอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้เล่าแผนธุรกิจในการขยายสู่ตลาดดิจิทัลว่า บริษัทเตรียมขยายฐานลูกค้าในประเทศไทยมากขึ้นด้วยการเพิ่มช่องทางการสั่งอาหารออนไลน์ผ่าน www.burgerking.co.th และขยายพื้นที่ในการจัดส่งโดยเป็นพาทเนอร์กับ Lalamove เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์การสั่งอาหารผ่านออนไลน์ของคนในปัจจุบัน ซึ่งในช่วงไตรมาส 1-3 ของปีนี้ ธุรกิจเบอร์เกอร์มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
“เราเปิดตัวอย่างไม่เป็นทางการได้ราว 1 เดือน เพื่อหวังเพิ่มการรับรู้แก่ผู้บริโภคว่า BURGER KING มีช่องทางออนไลน์ให้สั่งซื้ออาหารได้แล้ว จากเดิมที่ลูกค้าเคยสั่งผ่าน 1112 เพียงช่องทางเดียว ซึ่งสร้างรายได้ให้บริษัทราว 5% จากรายได้รวม นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนขยายสาขาอีก 20 แห่งในปีหน้า โดยเน้นเป็นสาขา Drive Thru ซึ่งคาดว่าจะทำให้รายได้ในปีหน้าเติบโตได้ 30-40% จากรายได้รวมปีนี้ 3,500 ล้านบาท ส่วนช่องทางสั่งอาหารผ่านออนไลน์ที่เพิ่งเปิดตัวนี้ ออเดอร์อาหารจะถูกจัดส่งผ่าน Lalamove ทั้งหมด”
ลูกค้าสั่ง Delivery ต่อบิลแพงกว่าซื้อจากร้าน
พบว่าการซื้ออาหารผ่านร้าน BURGER KING ลูกค้าจะใช้จ่ายเฉลี่ย 220 บาทต่อบิล แต่การสั่งซื้อผ่านเว็บไซต์จะมีมูลค่าเฉลี่ย 400-500 บาทต่อบิล ซึ่งในระหว่างวันที่ 1-29 ธ.ค.60 มีโปรโมชั่นจัดส่งฟรีเมื่อสั่งสินค้าครบ 500 บาทขึ้นไป จึงเชื่อว่าการขยายช่องทางสั่งอาหารผ่านออนไลน์จะช่วยเพิ่มรายได้ให้บริษัทไม่ต่ำกว่า 10%
ไทยติดอันดับโลก! เรื่องคุณภาพ
ในส่วนการให้บริการ บริษัทตั้งเป้า Zero Complaint จากลูกค้าในเร็วๆ นี้ จากปัจจุบันมีกรณีร้องเรียนอยู่บ้าง เช่น ผิดออเดอร์ หรือส่งล่าช้า อย่างไรก็ตาม จากสาขานับหมื่นแห่งทั่วโลก BURGER KING ในไทยถือว่าติดอันดับต้นๆ ในเรื่องความสะอาดของอาหารและสุขอนามัย โดยได้รับรางวัลติดต่อกันมาแล้ว 3 ปี
ขยายสาขาใหม่แห่งละ 25 ล้านบาท!
สำหรับการขยายสาขาใหม่ในปี 2561 จำนวน 20 แห่งนี้ บริษัทเตรียมลงทุนสาขาที่เป็น Drive Thru ประมาณแห่งละ 25 ล้านบาท รวมใช้งบประมาณราว 300 ล้านบาท ซึ่งกว่า 60% จะเป็นสาขาที่ตั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จากปัจจุบันมีทั้งสิ้น 84 สาขา
เริ่มจาก “เว็บไซต์” ก่อนต่อยอด…
เว็บไซต์ burgerking.co.th ถือเป็นช่องทางออนไลน์แรกของ BURGER KING ซึ่งต่อไปบริษัทวางแผนขยายสู่บริการรูปแบบใหม่ ที่สามารถให้ลูกค้าสั่งอาหารล่วงหน้าก่อนเดินทางไปรับสินค้าและชำระเงินในสาขาที่อยู่ใกล้เคียงหรืออยู่ระหว่างการเดินทางของคุณ รวมถึงการขยายสู่ช่องทางอื่นอย่างแอปพลิเคชันต่อไป
“จากเทรนด์การใช้จ่ายแบบสังคมไร้เงินสดของผู้บริโภคยุคปัจจุบัน บริษัทจึงพยายามเข้าถึงเทรนด์ดังกล่าวเพื่อรองรับความต้องการใช้งานของผู้บริโภคด้วย โดยมีเป้าหมายจำกัดการใช้งานเงินสดให้น้อยที่สุดเพื่อเข้าสู่ยุคโมบายเพย์เมนต์ ซึ่ง BURGER KING ตั้งเป้าการใช้จ่ายของลูกค้าด้วยเงินสดและโมบายเพย์เมนต์เป็น 50% : 50% จากปัจจุบันสัดส่วนการใช้จ่ายอยู่ที่ 70% : 30% ส่วนการทำตลาดเพื่อสร้างการรับรู้ในแบรนด์ เราก็ยังคงทำอย่างต่อเนื่องโดยในปีนี้ใช้งบประมาณ 100 ล้านบาท แต่ปีหน้าอาจเพิ่มเป็น 120-130 ล้านบาท”
ด้านพาทเนอร์อย่าง Lalamove คุณชานนท์ กล้าหาญ กรรมการผู้จัดการ Lalamove ประเทศไทย อธิบายเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันบริษัทถือเป็นผู้นำ On Demand Delivery Service Provider ในประเทศไทย จากการให้บริการมานาน 3 ปี มีลูกค้าในระบบรวม 500,000 ราย ด้วยความแตกต่างด้านบริการที่ดีและอัตราการให้บริการสำเร็จ 99.5%
“ลูกค้ากว่า 60-70% ของ Lalamove เป็นลูกค้าในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ปัจจุบันมีผู้ขับอิสระมีรถพร้อมให้บริการรวม 40,000 คัน โดย 95% เป็นรถจักรยานยนต์ อีก 5% เป็นรถกระบะและในอนาคตจะเพิ่มรถยนต์ 5 ประตูเข้ามาในระบบมากขึ้นด้วย ขณะที่สัดส่วนรายได้ปัจจุบันอยู่ที่ 540 ล้านบาท จากลูกค้าหลักในกลุ่มอาหารและบริการจัดส่งสินค้า คิดเป็นสัดส่วนเติบโตขึ้นถึง 350% จากปีก่อนหน้า 120 ล้านบาท เนื่องจากจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้นทั้งในส่วนภาคธุรกิจและลูกค้าทั่วไป ซึ่ง Lalamove มีลูกค้าธุรกิจหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มอาหาร สินค้าแฟชั่น และบริการขนส่งสินค้า”.