เมื่อ‘เซ็นทรัล’ จับมือ ‘JD.com’ รุกไซเบอร์เทรด

  • 609
  •  
  •  
  •  
  •  

ในที่สุดสองยักษ์จากสองสัญชาติ อย่าง กลุ่มเซ็นทรัล ผู้นำธุรกิจค้าปลีกของไทย กับ JD.com บริษัทอีคอมเมิร์ซสัญชาติจีนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ และผู้นำด้านอีคอมเมิร์ซอันดับ 3 ของโลก ได้ประกาศร่วมทุนอย่างเป็นทางการ โดยเตรียมลงทุนกว่า 100,000 ล้านบาทใน 5 ปี เพื่อลุยธุรกิจอีคอมเมิร์ซและก้าวสู่ยุคไซเบอร์เทรด ที่ไม่ได้ต้องการปักธงเฉพาะตลาดในอาเซียน ยังหวังใช้พลัง synergy ครั้งนี้ขยับฐานไปยังภูมิภาคอื่นของโลก

ความร่วมมือครั้งนี้ มีมูลค่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 75,000 ล้านบาท ในสัดส่วนถือหุ้นฝ่ายละ 50% ซึ่งต่างฝ่ายต่างหวังใช้จุดแกร่งของแต่ละฝ่าย เป็นทางลัดในการสร้างความสำเร็จให้ธุรกิจ และไทยเป็นสมรภูมิแรกที่ต้องการพิชิต

JD-CENTRAL

โดย JD.com จะใช้เครือข่ายของกลุ่มเซ็นทรัลที่มีเครือข่ายร้านค้า (physical stores network) ที่สมบูรณ์ที่สุด ตลอดจนจำนวนซัพพลายเออร์กว่า 10,000 ราย และฐานลูกค้า The 1 card ที่มีราว 14-15 ล้านรายมาเป็นข้อได้เปรียบสู้กับคู่แข่งที่เข้ามาปักธงก่อนหน้านี้

ขณะที่ทางกลุ่มเซ็นทรัลเองต้องการใช้เทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญของทาง JD.com  มาสร้างความสำเร็จและเติบโตให้กับธุรกิจที่ ทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด มองเป็นอนาคต และความร่วมมือกับ JD.com  ก็ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในรอบ 70 ปีนับตั้งแต่ดำเนินธุรกิจมา

“ตอนนี้เราก้าวสู่ในยุคดิจิทัลอีโคโนมี ธุรกิจค้าปลีกก็เปลี่ยนโฉมไปไม่ใช่โมเดิร์นเทรด แต่เป็นยุคของเทคโนโลยี หรือไซเบอร์เทรด ทางเราเองได้ปรับตัวตลอดช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา สาเหตุที่เลือก JD.com เพราะเป็นบริษัทอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดในจีนและติด 1 ใน 3 ของโลก ซึ่งปัจจุบันทางจีนมีการพัฒนาเทคโนโลยีเทียบเท่ากับสหรัฐอเมริกา และจะแซงหน้าในอนาคต”ทศกล่าว

ด้าน ริชาร์ด หลิว ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท JD.com กล่าวว่า ไทยมีการเติบโตด้านอีคอมเมิร์ซสูง นอกจากนี้ยังมีความใกล้เคียงกับในประเทศจีนในเรื่องความหนาแน่นของประชากร และค่าครองชีพเฉลี่ยต่อหัว โดยการดำเนินธุรกิจที่นี้ จะยึกหลักดำเนินการ CEO ประกอบด้วย C-Customer ,E-Experience และ O-Officer หลักการที่ทางJD.comยึดถือเป็น Key Success ในการดำเนินธุรกิจ

 

โฟกัส 3 ธุรกิจสู้ศึกไซเบอร์เทรด

สำหรับไซเบอร์เทรดที่อยู่ในโฟกัสของสองยักษ์ใหญ่ ประกอบด้วย 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่

E-commerce ภายใต้ชื่อ www.JD.co.th ที่จะรวบรวมหลากหลายร้านค้า แฟลกชิฟของกลุ่มเซ็นทรัลและสินค้าอื่น ๆ รวมถึงสินค้า เอสเอ็มอีและโอทอปมากกว่า 10,000 ราย เริ่มทดลองระบบก่อนสิ้นปีนี้ และจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการได้ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2561ส่วนเป้าหมายต้องการเป็นเบอร์ 1 ในไทยและเตรียมเข้าสู่สนามที่ใหญ่ขึ้นเริ่มจากอาเซียน และขยับไปสู่ภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก

E-logistic ที่ทาง JD.com มีเทคโนโลยีการขนส่งที่รวดเร็วและแม่นยำ อาทิ การใช้โดรน ที่ช่วยลดคอร์สของการขนส่งได้ถึง 75% และออโต้คาร์ ฯลฯ ซึ่ง ทศ บอกว่า ต้องการ transform ระบบโลจิสติกส์ของไทย เพราะที่ผ่านมาธุรกิจดังกล่าวมีปัญหาเรื่องประสิทธิภาพและราคาขนส่ง

สำหรับการรองรับการดำเนินงานธุรกิจ E-logistic  และธุรกิจ E-commerce ตามแผนที่วางไว้ จะมีการลงทุนสร้างศูนย์กระจายสินค้าแห่งแรกย่านบางนาในปีหน้า เพื่อเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในการใช้ไทยเป็นศูนย์กลางกระจายสินค้าไปสู่อาเซียน ตลอดจนเชื่อมต่อไปยังประเทศจีน,สหรัฐอเมริกา และภูมิภาคอื่นที่ทาง JD.com เข้าไปลงทุนก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็น รัสเซีย และอินโดนีเซีย

สุดท้ายธุรกิจ E -finance พัฒนาบริการฟินเทคอำนวยความสะดวกด้านไฟแนนซ์ให้กับลูกค้าและซัพพลายเออร์ โดยโฟกัสในเรื่องของ E-wallet และบริการทางการเงินออนไลน์อื่น ๆ ในการเตรียมเข้าสู่สังคมไร้เงินสด หรือ Cashless society ที่กำลังเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นขอใบอนุญาตดำเนินการอยู่

 

ดันไทยสู่ดิจิทัล เซ็นเตอร์ระดับโลก

 

รวมไปถึงเตรียมผลักดันให้ไทยเป็นดิจิทัล เซ็นเตอร์ เทียบชั้นปักกิ่ง ประเทศจีน และ บังกาลอร์ ประเทศอินเดีย โดยมีแผนจะสร้างสำนักงานประจำภูมิภาค(Regional office) เพื่อพัฒนาไทยให้เป็นศูนย์กลางการทำธุรกิจ E-commerce ในภูมิภาคนี้ อีกทั้งเตรียมลงทุนสร้างดิจิทัล พาร์ค ทำหน้าที่เป็นศูนย์พัฒนาด้านนวัตกรรม (Innovation Center) โดยทั้งหมดอยู่ภายใต้งบลงทุนกว่า 100,000 ล้านบาทภายใน 5 ปี

“เมื่อพูดถึงดิจิทัล เซ็นเตอร์คนจะคิดว่า ซิลิคอน วัลเลย์ แต่ตอนนี้มีคนพูดถึง 3B ได้แก่ B แรก คือ ปักกิ่ง ประเทศจีน B ที่สอง คือ บังกาลอร์ ประเทศอินเดีย B ที่สามกำลังแข่งกันอยู่ ซึ่งเราก็อยากให้เป็น B แบงคอก”ญนน์ โภคทรัพย์ ประธาน บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด กล่าว

Photo 1

นั่นเป็นเพียงสเตปแรกในการ บุกธุรกิจอีคอมเมิร์ซของสองยักษ์ใหญ่ โดยทางกลุ่มเซ็นทรัลยังต้องการใช้กำลังของผู้ถือหุ้นใน  JD.com ได้แก่ “เทนเซนต์” ยักษ์ไอทีแห่งจีน และ “วอลมาร์ต” ห้างค้าปลีกยักษ์ของอเมริกา ต่อยอดธุรกิจด้าน e-commerce ไปยังภูมิภาคอื่น เพราะกลุ่มเซ็นทรัลเองก็มีธุรกิจในเวียดนาม ทั้งศูนย์การค้าไอ-เซ็นทรัล และบิ๊กซี รวมถึงห้างหรูในยุโรป ที่จะใช้เครือข่ายของพาร์ทเนอร์ทั้งสองเพิ่มความแกร่งให้กับตนเอง ซึ่ง ทศ ยังไม่ยอมเผยแผนนี้ออกมา

สำหรับเป้าหมายทางธุรกิจจากการผนึกกำลังครั้งนี้ คาดว่า จะการคุ้มทุนภายใน 3-5 ปี และเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้รายได้ของเครือเซ็นทรัลให้เติบโตในอัตรา 15% ทุกปีต่อจากนี้ จากปัจจุบันมีรายได้อยู่ประมาณ 320,000 ล้านบาท พร้อมกับเพิ่มสัดส่วนรายได้จากออนไลน์เป็น 15% จากปัจจุบันรายได้จากส่วนนี้ยังมีไม่มากนัก

ทั้งนี้ ทางผู้บริหารของกลุ่มเซ็นทรัลยอมรับว่า ต้องทำงานอย่างหนัก เพราะสมรภูมินี้มี Big player ทั้ง Alibaba, Amazon และอีกหลายรายเข้ามาจับจองพื้นที่ก่อนหน้านี้แล้ว แต่เชื่อมั่นว่า ด้วยศักยภาพของ JD.com บวกกับความแข็งแกร่งของกลุ่มเซ็นทรัล ในเรื่องเครือข่ายทั้งร้านค้า ซัพพลายเออร์ และฐานลูกค้าที่มีอยู่กว่า 14 ล้านราย จะเป็นแต้มต่อและนำมาสำเร็จมาให้

ส่วนจะจริงตามที่หวังไว้หรือไม่ ต้องติดตามกันต่อไป


  • 609
  •  
  •  
  •  
  •