ในโลกที่ตอนนี้ใครๆ ก็พูดว่าจะเป็น start up หรือหลายคนฝันอยากเป็นเจ้าของธุรกิจ เคยตั้งคำถามมั้ยว่าจริงๆ แล้วบรรดาที่ประสบความสำเร็จเหล่านั้น มีจำนวนคนที่ไปไม่ถึงฝันเท่าไร ในทางกลับเมื่อเทียบจำนวนเจ้าของธุรกิจกับลูกจ้างในประเทศเราใครเป็นชนกลุ่มใหญ่มากกว่ากัน ดังนั้นเรื่องที่กำลังจะคุยกันรอบนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อชนกลุ่มใหญ่ของประเทศอย่างแน่นอน
หลายครั้ง หลายคำถาม หลายเวทีว่าทำไมถึงดิฉันดูมีพลังมากมายมหาศาลในการทำงานหลายที่คนมักเข้าใจว่าเป็นเจ้าของบริษัทเองเสียด้วยซ้ำ แล้วทำไมถึงดูทุ่มเทมากมายขนาดนี้
วันนี้ขอสรุปสิ่งที่ตัวเองทำและคิดออกมา ง่ายๆ 5 ข้อค่ะ
- หาความหมายของงานและสิ่งที่ตัวเองทำให้เจอ : สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่แค่การทำงานแต่มันคือมุมมองในการใช้ชีวิต เพราะไม่ว่าคุณจะมีตำแหน่งใหญ่โตได้เงินเดือนมากมาย หรือตำแหน่งเล็กๆ ได้เงินเดือนน้อยแค่ไหน หากคุณไม่เห็นค่าหรือดูถูกงานที่คุณทำก็เหมือนคุณกระทืบใจตัวเองทุกวัน และยิ่งคิดแบบนี้ไปนาน ๆ ก็เหมือนสะกดจิตตัวเองว่า เราเป็นคนห่วย เราเป็นคนแย่ แล้วลองคิดดูว่าศักยภาพในตัวเราจะแย่ลงไปขนาดไหน
- ทำมากกว่าตำแหน่งตัวเอง 2 steps เสมอ : คิดง่ายๆ ค่ะ มนุษย์เงินเดือน 99.99% มักจะคิดว่าบริษัทจ้องเอาเปรียบตัวเองหรือหัวหน้างานโยนงานมาให้ฉันทำไมบริษัทจ้างเท่าไรฉันก็จะทำตามเงินเดือนที่จ่าย และหากคิดก็เป็นคนนึงที่คิดแบบนั้น คุณก็ไม่แตกต่างจากมนุษย์อีก 99.99% ที่เหลือนั่นคือคำถามที่ต้องตอบว่าแล้วคุณจะโดดเด่นจากคนอื่นได้อย่างไรธรรมชาติของการที่จะเติบโตได้ คุณต้องมีความโดดเด่นฉายแววมากกว่าคนอื่นๆนี่จึงเป็นความจริงข้อสำคัญของการเป็นมนุษย์เงินเดือน
- ได้เรียนฟรีไม่ต้องลงทุน แถมสิ้นเดือนได้เงินอีก : ข้อนี้จริงเสียยิ่งกว่าจริงการที่เรามาทำงานในแต่ละวัน โจทย์ที่เข้ามานั้นล้วนแต่เป็นวิชาที่เราหาไม่ได้ในตำรา คิดดูว่าเราโชคดีแค่ไหนที่อยู่ดีๆ ก็ได้รับความท้าทายมากมายให้ได้ลองฝีมือ สำหรับตัวเองแล้วคิดเสมอว่าแสนจะโชคดีที่ได้มารันธุรกิจหลายพันล้าน ได้ลองวิชาที่ตัวเองคิดแบบที่ไม่ต้องใช้เงินตัวเองสักบาท แถมสิ้นเดือนมีคนเงินมาให้ แบบนี้เรียกว่าเรียนฟรีแถมมีเงินก้นถุงให้ด้วย
- จงมองว่าโอกาสมีอยู่รอบตัวเสมอ : ในทุกครั้งที่ดิฉันได้รับมอบหมายงานใหม่ๆ ยิ่งยากๆ ไม่มีใครทำจะดีใจมากๆ เพราะมันหมายถึงเรากำลังได้โอกาสที่ไม่มีใครได้ สมัยเด็กๆ ทำงานใหม่ๆ ดิฉันชอบเก็บกระดาษรีไซเคิลเอากลับไปที่บ้าน เพื่ออ่านความรู้มากมายก็ได้จากกระดาษพวกนั้น ดังนั้นจงมองว่าทุกความท้าทายใหม่ ๆ คือโอกาสที่จะส่งเราให้ไปถึงดวงดาว เทียบได้กับการที่เราต้องสะสมลิ้นชักในสมองให้เยอะที่สุด ยิ่งเยอะเท่าไรก็คือต้นทุนที่เรามีมากกว่าคนอื่นๆ ได้เรียนรู้ทุกสิ่งจะอยู่ในสมองและประสบการณ์ของเราตลอดไปไม่มีใครมาเอาไปได้
- อยู่ให้เค้ารัก จากให้เค้าเสียดาย : และสิ่งสุดท้ายเป็นความจริงที่เราต้องยอมรับในโลกของมือปืนรับจ้างหรือลูกจ้างอย่างเราๆ วันนึงเมื่อคุณเริ่มตื่นมาแล้พบว่า ข้อ 1-4 ไม่มีเหลืออยู่คุณไม่มีพลังในการตื่น หมดอารมณ์ที่ต้องฝ่ารถติดไปทำงานสัญญาณนั้นมาแล้ว จงคิดถึงข้อนี้ว่า “คุณได้ทำเต็มที่แล้วหรือยัง”
เพราะวันที่คุณเดินก้าวออกจากที่ทำงานนั้น คุณต้องมั่นใจว่าเดินออกมาพร้อมกับความภูมิใจที่ได้สร้างอนุสาวรีย์ของตัวเราไว้ที่นั่นพร้อมกับสมองที่ไม่ได้ว่างเปล่าเพื่อให้เราพูดกับตัวเองได้อย่างเต็มปากและไม่อายใครว่า “อยู่ให้เค้ารักและจากให้เค้าเสียดาย”
ท้ายสุด…หลายคนมักพูดว่าองค์กรนี้แสนโชคดีที่ได้ดิฉันมาเป็นผู้บริหารแต่ความจริงแล้ว “เราโชคดีที่มีกันและกัน” ต่างหากคุณผู้อ่านก็เช่นกันนะคะ หาให้เจอองค์กรที่คุณจะพูดและรู้สึกแบบนี้ค่ะ
เขียนโดย คุณบุญย์ญานุช บุญบำรุงทรัพย์
รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แบรนด์ บาร์บีคิวพลาซ่า บริษัท ฟู้ด แพชชั่น จำกัด
อ่านบทความ Exclusive Insider เพิ่มเติมได้ที่นี่
Copyright © MarketingOops.com