เรียกว่าเป็นข่าวฮือฮาอย่างมากทั้งในวงการธุรกิจและแวดวง Startup กับการลาออกของ Travis Kalanick ซีอีโอ Uber หลังเกิดวิกฤติมากมายในองค์กร ซึ่งแม้ว่าอาจจะไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายเท่าไหร่ แต่สเตปต่อไปที่หลายคนจับตาคือ หลังการประกาศลาออกนี้อนาคตของ Uber จะเป็นอย่างไร?
ซีเอ็นเอ็น มันนี ได้วิเคราะห์หลายประเด็นไว้น่าสนใจ ซึ่งเราขอนำบทวิเคาะห์มาเล่าให้ผู้อ่านได้ฟังกันค่ะ
แน่นอนว่าอย่างแรกเลย Uber จะต้องหาผู้บริหารระดับสูงคนใหม่ ที่จะมาจัดการแก้ไขปัญหาวัฒนธรรมภายในอันโหดร้ายให้ได้ ปรับปรุงภาพลักษณ์ต่อสาธารณะให้ดีขึ้น นำพาองค์กรข้ามผ่านเรื่องคดีต่างๆ และที่สำคัญคือต้องฉุดองค์กรให้พ้นจากวิกฤตทางการเงินให้ได้ด้วย
อย่างเลวร้ายที่สุด Uber อาจจะต้องเผชิญกับปัญหาไร้ซึ่งผู้บริหารเลย นั่นหมายถึงไม่มี C-Suite อาทิ COO, CFO, CMO หรือแม้แต่ประธานบริหารนั่งอยู่เลย และอาจรวมไปถึง SVP (Senior Vice President) ก็เพิ่งจะถูกผลักให้พ้นจากตำแหน่งเมื่อไม่นาน
“นี่นับเป็นปัญหาใหญ่ และเป็นปัญหาที่ค่อนข้างไม่เหมือนที่อื่น ยากจะแก้ได้ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นปัญหาซ้อนปัญหา หลายชั้นมากๆ ทีเดียว และจะต้องมีผู้นำที่มาสะสางในทุกๆ คีย์ฟังก์ชั่น” Jeffrey Sonnenfeld ศาสตราจารย์ด้าน Management แห่ง Yale ให้ความเห็นเอาไว้
ก่อนหน้านี้ Kalanick ยินยอมที่จะถอนตัวเองออกไปเมื่อสัปดาห์ก่อน และตั้งแต่ตอนนั้น Uber ก็ถูกบริหารงานโดยฝ่ายคณะกรรมการบริหารเรื่อยมา แต่ในการถอนตัวเองออกไปในช่วงนั้นเป็นเจตนาของตัวเขาเองที่ต้องการไว้อาลัยต่อการจากไปของคุณแม่ และเพื่อที่จะกลับมาทำงานในฐานะผู้นำที่ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม เป็นเวลาหลายเดือนแล้วที่ Uber ยังคงเสาะหา COO เพื่อมาช่วยงาน Kalanick แต่ดูท่าทีของ Uber เองก็ดูจะไม่ได้รีบร้อนที่จะมีปฏิกริยาตอบกลับกับความเห็นเรื่องการอัพเดทแผนการทำงานในอนาคตแม้กระทั่งเรื่องที่ Kalanick ไม่ได้เป็นซีอีโออีกแล้ว เพราะจะว่าไปก็เหมือนว่าเขาจะไปสร้างอิทธิพลกับ startup ที่เขาไปเป็น cofounder ด้วยมากกว่าซะอีก อย่างไรก็ตาม Kalanick ยังคงนั่งอยู่ในบอร์ดของ Uber ตามคำอ้างของ Uber ที่บอกกับ CNN Tech
นอกจากนี้ ยังมีความเห็นว่า Kalanick ก็เหมือนกับ Uber ในยุคแรกๆ ที่เขาสร้าง Uber ขึ้นมาจนทำเงินมีมูลค่ามหาศาลได้สูงถึง 68,000 ล้านดอลล่าร์ ซึ่งต้องผ่านช่วงเวลาหนักหนาสาหัสมาตลอด ไม่ว่าจะเป็น การระดมทุนที่หนักหน่วง, การหลบเลี่ยงจากผู้ควบคุม และการต่อสู้กับคู่แข่งมากมาย ฯลฯ
แต่ช่วงเวลาหนักหนาต่างๆ ที่เกิดขึ้น (ซึ่งบางคนอาจจะมองว่าเป็นเพียงแค่ความสะเพร่า) มันก็ปูทางทำให้ Uber เผชิญกับปัญหาขัดแย้งในทุกวันนี้ ภายใต้การนำของ Kalanick ทำให้ Uber ตกอยู่ท่ามกลางกองไฟ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคุกคามทางเพศ การใช้ tools ที่ไม่เคารพกฎหมาย ฯลฯ
บรรดาคนวงในของ Uber ก็ยังคงวิเคราะห์ไม่หยุดเกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับบริษัทต่อไปว่า บริษัทจะยังคงดำเนินกิจการต่อไปได้ไหม จะสามารถเอาชนะคู่แข่งได้หรือไม่ ถ้าเกิดว่าเปลี่ยนผู้บริหารที่มีดีกว่า นุ่มนวลกว่า Kalanick
Bradley Tusk, a political consultant and investor ใน Uber กล่าวว่า บริษัทจำเป็นจะต้องมีผู้นำที่สามารถบาลานซ์ ทั้งการเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานและมีความอินโนเวทีฟอย่างที่สุด พร้อมกับจะต้องมีความรับผิดชอบและตรวจสอบได้
“ถ้าบอร์ดต้องการเพลย์เซฟ พวกเขาอาจมีโอกาสชนะในสนาม แต่เขาอาจจะแพ้ในสงคราม (สงครามที่ยิ่งใหญ่ที่แท้จริงของบริษัทด้านอินโนเวชั่น)” Tusk กล่าว
บางคนก็บอกว่า Uber เป็นบริษัทใหญ่มากพอ และต้องการผู้นำในสไตล์ที่แตกต่างออกไป
“ตอนนี้ Uber มีสเกลที่ใหญ่ และคิดว่าผู้นำในตอนนี้ควรจะมีความแตกต่างกันไปจะทำให้การทำงานเป็นไปด้วยดี และทิฐิต่างๆ ควรจะต้องลดลง เพื่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้”Mike Walsh, an early Uber investor กล่าว
ทั้งนี้ Garrett Camp, Uber’s cofounder and chairman ได้บอกใบ้เราไว้ผ่านบล็อกสปอต ก่อนหน้าที่ Kalanick จะประกาศลาออก ว่า “เพื่อนผมคนหนึ่งถามผมว่า ‘มันเกิดอะไรขึ้น?’ และคำตอบก็คือเราไม่ได้ฟังมากพอ ทีมของเราโดยเฉพาะคนขับของเรา”
เขายังกล่าวเสริมอีกว่า “ในตลาดที่มีการแข่งขันที่สูงมาก มันง่ายมากที่จะลุ่มหลงในการเติบโต แทนที่จะใช้เวลาเพื่อให้แน่ใจว่าคุณอยู่บนทางที่ถูกต้องแล้ว และตอนนี้มันคือเวลานี้”
ถ้าประวัติศาสต์ที่ Silicon Valley จะส่งสัญญาณบอกเราได้นั้น บางทีอาจจะมีโอกาสทีเป็นไปได้ว่า Kalanick จะกลับมายังอาณาจักรที่เขาสร้างอีกครั้งในฐานะ CEO ซึ่งเราเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมาแล้ว ไล่ตั้งแต่ ผู้ก่อตั้ง Apple, Google, Twitter และคนอื่นๆ ที่เคยก้าวลงมาหรือถูกผลักออกมาก็เพียงแค่ที่จะกลับไปอีกครั้ง
ยังคงมีเวลาพอที่แสงไฟจะส่องไปยัง Kalanick อีกครั้ง และอาจจะเป็นไปตามที่เขาอ้างก้ได้ว่าเขาได้บรรลุผลสำเร็จแล้ว ดั่งที่เขาสัญญาไว้นั้นคือ “Travis 2.0”