งานนี้ไม่ใช่แค่จัดอีเวนท์สำหรับสตาร์ทอัพธรรมดา เพราะผู้ก่อตั้ง Echelon อย่าง Thaddues Keh ประกาศว่าต้องการให้งาน Echelon 2017 เป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อมระบบนิเวศสตาร์ทอัพของไทยกับสตาร์ทอัพทั่วอาเซียนเพื่อสร้างงาน การลงทุนและบริษัทใหม่ๆเกิดขึ้น
สอดคล้องกับความเห็นของคุณปาริวัฒน์ วงศ์สำราญ ผู้จัดการโครงการของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติว่าต้องการให้งานนี้เป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อสตาร์ทอัพไทยกับสตาร์ทอัพในอาเซียนเช่นกัน โดยเริ่มจากการให้ความรู้ ฝึกทักษะเกี่ยวกับการทำสตาร์ทอัพให้กับนักเรียนนักศึกษาเพื่อรองรับงานและการลงทุนในอนาคตมากกว่าแค่รอบ Seed Stage แต่เป็นรอบ Series A และ Series B โดยเฉพาะในวงการ FinTech AgriTech HealthTech และ TravelTech ทั่วประเทศ ซึ่งเราจะได้เห็นผู้ประกอบการและนักลงทุนสตาร์ทอัพไทยได้รับการสนับสนุนทางด้านภาษี ข้อมูลฐานลูกค้า สถิติและกฎหมาย
เมื่อเทคโนโลยีสตาร์ทอัพกลายเป็นสิ่งจำเป็นในยามที่แรงงานหายากขึ้นทุกที
คุณแชมป์ ปุณญธร สุทธิพงษ์ชัย จาก Creative Venture ได้พูดในช่วง Innovation Through Cross-Border Access between SEA and Silicon Valley ว่า
สถานการณ์ที่อาเซียนต้องเป็นห่วงไม่ว่าจะเป็นสังคมผู้สูงอายุ ภาวะโลกร้อน ทรัพยากรขาดแคลน การเกษตรที่ได้ผลผลิตน้อยลง และประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึงร้อยละ 40 ทั่วโลกในปี 2040 ทำให้แรงงานเฉพาะในภาคการแพทย์และการเกษตรขาดแคลน เป็นปัญหาทั่วโลก
ในเมื่อเป็นปัญหาทั่วโลก จึงต้องหาวิธีแก้ที่ใช้ได้ทั่วโลกเช่นกัน ซึ่งต้องใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่มีอยู่แล้วเข้ามาแก้ ยกตัวอย่างเช่น Ultrasound Lab ของ Exo ที่ใช้เทคโนโลยีมาช่วยวินิจฉัยอาการของโรคให้กับคนชนชทและผู้ที่อยู่ไกล Dishcraft Robotic ที่มาพร้อมกับหุ่นยนต์ Artificial Inteligence ช่วยเราล้างจาน ไม่ต้องจ้างคนล้างจาน ประหยัดต้นทุนมแถมตัดปัญหาเรื่องการหาคน และ Agridata ที่ใช้เทคโนโลยีทำนายผลผลิตของผลทางการเกษตรที่เราปลูกได้แม่นถึงร้อยละ 95
คุณแชมป์ยังทิ้งท้ายด้วยว่าการทำสตาร์ทอัพนั้น มีคนที่เก่งเรื่องเทคนิคอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีคนที่ขายของเป็น เห็นปัญหาของการทำธุรกิจให้เฉียบ เห็นภาพผลลัพธ์ที่ต้องการก่อนจะลงมือทำ ดึงข้อดีของคนมาสักอย่างให้ได้ รู้จักพูดให้ลูกค้าเห็นประโยชน์ของบริการที่ขาย เข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของตลาดและความสามารถของเทคโนโลยีที่จะใช้ในธุรกิจ พร้อมที่จะลงทุนและไว้ใจในตัวคนเพื่อให้บริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดด เปิดรับความเข้าใจและความเห็นใหม่ๆ ที่สำคัญต้องมีลูกค้าที่พร้อมให้ความร่วมมือในการให้ความเห็นต่อบริการของเราเพื่อเอาไปพัฒนาบริกราต่อไปด้วย
ไทยยังขาดความเข้าใจเกี่ยวกับสตาร์ทอัพและนวัฒกรรมอีกเยอะ
จากนั้นคุณพันธุอาจ ชัยรัตนา ผู้อำนวยการจากสำนักนวัตกรรมแห่งชาติได้ขึ้นพูดในหัวข้อ How Thailand’s Startup Ecosystem Has Evolved in the Past 5 Years ว่า
สตาร์ทอัพถูกพูดถึงมากในช่วงที่เศรษฐกิจชะลงตัวเพราะเป็นวิธีการทำธุรกิจที่ทำให้เราได้เห็นอะไรใหม่ๆ อีกทั้งหลายๆประเทศทำรายได้จากผู้ประกอบการมากขึ้นแทนที่จะเป็นภาคการผลิตอย่างเดียว โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีภาคการเกษตรที่ทำรายได้หลักให้กับประเทศอยู่แล้ว
ซึ่งคุณพันธุอาจก็ยอมรับว่าเป็นห่วงในเรื่องของกำลังคนที่มีทักษะไม่เพียงพอต่อการเข้ามาของ FoodTech AgriTech และ FinTech ที่ตอนนี้ไทยมีสมาคมฟินเทค ธนาคารแห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่คอยสนับสนุน FinTech ในบ้านเราให้ขายตลาดไปทั่วโลกได้โดยจัดการกับวัฒนธรรมและภาษาที่ต่างกันในแต่ละประเทศ และไม่ใช่แค่พัฒนาแค่นวัตกรรม แต่เราต้องอธิบายตัวนวัตกรรมให้ทุกคนได้เข้าใจด้วย โดยเฉพาะกับนักเรียนนักศึกษา และผู้ประกอบการสตาร์ทอัพหน้าใหม่
ความมั่นคงทางไซเบอร์ไม่ใช่เรื่องในอนาคต แต่เป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้
ดร.อเล็กซ์ ลิน (Alex Lin) หัวหน้าฝ่ายพัฒนาระบบนิเวศจาก SGInnovate ขึ้นมาพูดในช่วง Building Up Thailand’s Competitive Advantage in Southeast Asia ว่า
ไทยยังเป็นประเทศที่ได้เปรียบสำหรับธุรกิจที่รองรับ “สังคมไร้เงินสด” อยู่ ตรงนี่แหละที่ตัวรัฐบาลเองไม่พอใจในตอนแรก เพราะรู้สึกว่าการเปลี่ยนสังคมให้เป็นสังคมดิจิทัลนั้นมีต้นทุนสูงและรัฐบาลไม่ได้ประโยชน์อะไร ดังนั้นการเข้ามาของพวก FinTech จะทำให้การทำธุรกรรมทางการเงินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพขึ้น ตอบโจทย์คนที่เข้าถึงเงินได้ยากซึ่งเป็นตลาดใหญ่ และจะช่วยรัฐบาลในเรื่องนี้ได้เยอะ แถมยังสร้างงาน และกระตุ้นการลงทุนในประเทศด้วย
อเล็กซ์ยังมองว่าไทยมีโอกาสของบริการสุขภาพดิจิทัล (Digital Healthcare) เพราะคนไทยชอบเสริมสวย ยอมจ่ายเงิน กล้าลองกล้าเสี่ยงที่จะทำให้ตัวเองดูดีด้วย เพราะจริงๆแล้วคำว่า “นวัตกรรม” ก็คือการหาวิธีแก้ปัญหาใหม่ๆอยู่เสมอส่วนองค์กรใหญ่ที่แทบจะไม่สามารถสร้างนวัตกรรมเองได้ ก็หาทางสนับสนุนสตาร์ทอัพที่มีนวัตกรรมแทน ตัวรัฐบาลก็ไม่สามารถคิดนวัตกรรมเองได้ เพราะเป็นทั้งคนสร้างกฎและทำตามกฎที่ตัวเองสร้าง ซึ่งภาคธุรกิจนี่แหละ ที่จะคอยหาโอกาสที่ซ่อนอยู่ในกฎพวกนี้เสมอ
อเล็กซ์เรียกนวัตกรรมที่จะเกิดขึ้นนี้ว่าเป็น “นวัตกรรมที่ถูกควบคุม” (Controlled Innovation)
อเล็กซ์ยังชวนให้ฉุกคิดด้วยว่าตัวเทคโนโลยีเองไม่ใช่ปัญหา แต่นี่เป็นปัญหาของคน อย่างเช่นมัลแวร์ WannaCry ที่ระบาดโจทย์คือจะอธิบายเรื่องนี้อย่างให้ให้คนธรรมดาเข้าใจ จะสอนคนให้แก้ปัญหานี้ได้อย่างไร เพราะไม่มีใครหนีปัญหาเรื่องเทคโนโลยีได้ ทุกคนต้องอยู่กับมัน
เอาโมเดลธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีมาปรับใช้ในตลาดอาเซียนได้
เกรซ หนุน เซีย (Grace Yun Xia) ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์และองค์กรและการลงทุนของ Tencent ได้พูดในช่วง Advanced Technologies and Business Model in China that SEA Can Learn From ว่า
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) จะมีเสน่ห์ของมันอยู่ ต่อให้แต่ละท้องทีจะมีวัฒนธรรมและภาษาที่ต่างกัน แต่โอกาสการลงทุนใน SEA นั้นล่าสุดก็เพิ่มอีกร้อยละ 50 ขนาดของเศรษฐกิจก็ใหญ่ ใครคิดจะลงทุนใน SEA ก็ต้องเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคแต่ละที่ แล้วเอาโมเดลธุรกิจที่มีมาปรับใช้ซ้ำได้ อาจจะมีปัญหาเรื่องของกฎหมาย แต่ถ้ารัฐบาลผ่านกฎหมายที่สนับสนุนธุรกิจเกิดใหม่ ก็จะทำให้เราคว้าโอกาสนี้ได้ไม่ยาก
ตัวคุณเกรชยังได้พูดถึงโอกาสของธุรกิจสายคอนเทนต์ว่า Content is still the king อยู่ โดยตัว Tencent ก็ได้สร้างแพลตฟอร์มให้คนได้ทำคอนเทนต์ขึ้นและได้เงินส่วนแบ่งไป และยังได้พูดถือความร่วมมือกับธุรกิจคอนเทนต์ในเมืองไทยอย่าง Ookbee ด้วยซึ่งก็ใช้แนวคิดแบบเดียวกัน
สำหรับใครที่สนใจเทรนด์และเทคโนโลยีอย่าง Big Data และ Artificial Intelligence คุณเกรซบอกว่าถ้าธุรกิจไหนมีก็จะได้วิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคและได้เปรียบเวลาทำธุรกิจแข่งกับเจ้าอื่นแน่นอน
เมื่ออนาคตของ E-Book ไม่สดใส User Generated Content จึงเป็นคำตอบของการเสพย์คอนเทนต์
คุณหมู ณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ CEO ของ Ookbee และ Venture Partner ของ 500 TukTuk พูดถึงพฤติกรรมการเสพย์คอนเทนต์ในช่วง Scaling Ookbee through User Generated Content and Digital Content Monetization ว่า
คนเริ่มอ่านหนังสือที่เป็นตัวเล่มน้อยลงก็จริง แต่พอได้ทำธุรกิจเกี่ยวกับ E-Book ก็เข้าใจว่าคนไม่ได้เปลี่ยนมาอ่าน E-Book กันมากขึ้น แต่จะเสพย์คอนเทนต์บน Facebook และ Instagram กันมากกว่า โดยเฉพาะคนอายุราว 12 – 24 ปี ฉะนั้น Ookbee จึงต้องปรับโมเดลธุรกิจหันมาเป็นแพลตฟอร์มให้คนทำคอนเทนต์แทน (User Generated Content)
คุณหมูจึงเสนอโมเดลธุรกิจที่เรียกว่า Trickle Down Model เหมือนสามเหลี่ยมคว่ำ โดยมี “ชุมชนคนเสพย์และสร้างคอนเทนต์” อยู่ด้วยกัน ชั้นถัดลงมาจะเป็นพวกผลิตคอนเทนต์เช่นศิลปินนักร้อง นักเขียน วาดการ์ตูน ที่สามารถอัพโหลดคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มพันธมิตรของ Ookbee ได้ไม่ว่าจะเป็น ฟังใจ Storylog Fictionlog ธัญวลัย และ Ookbee Comic
ซึ่งพอมีคนเสพย์และแชร์คอนเทนต์ออกไปก็จะเกิดเป็น Snowball Effect มีคนติดตามผลงานมากขึ้น คนทำคอนเทนต์ก็ใช้โอกาสนี้ต่อยอดจัดอีเวนต์ จัดคอนเสิร์ต จัดสัมมนาได้ เกิดเป็นรายได้ให้กับศิลปิน
ส่วน Ookbee ก็จะได้รายได้อีกทางจากบริการแพลตฟอร์มไปในที่สุด
ชิงความสนใจของคนดูโฆษณาในช่วง “Micro Moment”
คุณ Pankaj Khushani หัวหน้าฝ่ายโซลูชั่นสื่อเทคโนโลยีของ Google ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดียและเกาหลี ออกมาพูดถึงการโฆษณาในช่วง Leveraging Micro Moments to shape User Experiences and Branding ว่า
แต่ก่อนเราจะลงโฆษณาในช่วง Pime Time คือในช่วงทุ่มครึ่งถึงสองทุ่มครึ่งเพราะเป็นเวลาที่คนในครอบครัวมาดูทีวี ใช้เวลาด้วยกัน แต่เดี๋ยวนี้มันไม่ใช่แล้ว เพราะเวลา Prime Time ของแต่ละคนมันต่างกัน พฤติกรรมการเสพย์สื่อก็ต่างกัน จากดูโทรทัศน์ก็หันมาดูคลิปวีดีโอใน YouTube แทน
ดังนั้นใครที่คิดลงโฆษณาต้องชิงความสนใจของคนดูโฆษณาในช่วง “Micro Moment” ให้ได้ โฆษณาจะต้องเล่นให้ถูกที่ ถูกเวลา และถูกฟอร์แมตของแพลตฟอร์มที่โฆษณาแสดงด้วย และแน่นอน ตัวโฆษณาเองต้องสร้างสรรค์ด้วยเพื่อดึงความสนใจของผู้ชมกว่าร้อยละ 70
คุณ Pankaj จึงอธิบายแนวคิดของ Programmatic ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เปรียบกลับตลาดหลักทรัพย์ของโฆษณา มีการซื้อขายระบุข้อมูลของกลุ่มผู้ชมเป้าหมายที่ต้องการ และแสดงโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และแนวคิด Native Advertisement ที่เป็นโฆษณาที่มีฟอร์แมตแทบจะเหมือนกับคอนเทนต์ปรกติบนแพลตฟอร์มนั้น
เมื่อเทคโนโลยีเข้ามาแก้ไขปัญหาสังคมได้ดีกว่า
จากนั้นเราขอออกมาฟังการบรรยายในช่วง How Can Digital Technology Address Social Needs While Still Generating Financial Profit and Capital Growth? จาก Tech for Good ซึ่งอยู่ในบริเวณเวิร์คช็อปของฝั่งสตาร์ทอัพ
ซึ่งหากสตาร์ทอัพเจ้าไหนที่สนใจแก้ไขปัญหาสังคมจะต้องใช้เทคโนโลยีมาแก้ไขปัญหาสังคมไม่ว่าจะเป็นการช่วยให้คนทุพพลภาพใช้ชีวิตได้อย่างปรกติ ความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน โภชนาการ สิ่งแวดล้อม แม้แต่การทหาร ฯลฯ คนที่ได้รับความช่วยเหลือได้ประโยชน์ชัดเจน และที่สำคัญต้องทำเม็ดเงิน ต้องทำรายได้เข้าสตาร์ทอัพเองด้วย ฉะนั้นโซลูชั่นต้องแก้ปัญหาให้คนได้เยอะๆด้วยเช่นกัน เช่น MobileEye ของ Intel ที่แจ้งเตือนคนขับรถไม่ใช่ชนรถข้างหน้า และ Angus Checkpoint ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับ Self-driving Car ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต
หลายๆคนอาจจะสงสัยว่การแก้ไขปัญหาสังคมกับการทำกำไรจะไปด้วยกันได้หรือไม่ แต่อย่าลืมนะว่าสตาร์ทอัพสามารถแบ่งเบาภาระของรัฐบาลที่ดูแลแก้ไขปัญหาสังคมอยู่แล้ว รัฐบาลอาจจะสนับสนุน SocialTech เพื่อลดต้นทุนของตัวภาครัฐและทำรายได้ให้กับสตาร์ทอัพอีกทางด้วย
ทำสตาร์ทอัพ ต้องใส่ใจ Social Listening ตลอด 24 ชั่วโมง
อีกช่วงหนึ่งของสตาร์ทอัพเวิร์คช็อปคือ Social Media Intelligence for Start-up and SMEs จาก Circus Social มาบรรยายให้เห็นความสำคัญของการทำ Social Listening
เพราะสตาร์ทอัพจะต้องคอยฟังความเห็นจากการใช้บริการและนำมาเรียนรู้ปรับปรุงการให้บริการของตัวเองอยู่เสมอจนกว่าจะได้โซลูชั่นที่ตอบโจทย์ลูกค้าให้ได้มากที่สุด ฉะนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่มีกลุ่มผู้ใช้บริการเป้าหมายพูดถึงแบรนด์ของตัวสตาร์ทอัพและคู่แข่ง เวลานั้นคือโอกาสที่สตาร์ทอัพจะต้องคิดคอนเทนต์และแคมเปญการตลาดที่เกาะกระแส สร้างความสัมพันธ์กับผู้ใช้บริการ หา Influencer ที่สามารถประชาสัมพันธ์บริการและแบรนด์ของสตาร์ทอัด และหากมีคำวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับบริการหรือแบรนด์ สตาร์ทอัพก็สามารถวางแผนประชาสัมพันธ์แก้วิกฤติได้ทันเวลา
Blockchain สำหรับ Digital Health ในประเทศไทยเกิดขึ้นได้จริงหรือ?
กลับมาในส่วนของ Future Event ที่ดร.คณวัฒน์ จันทรลาวัณย์ ผู้ร่วมก่อตั้งสตาร์ทอัพ Crowding Platform และ Counsulting Service อย่าง Ruckdee ขึ้นมาพูดในช่วง Digital Health Opportunities in Thailand ไว้ว่า
โดยรวมแล้วโอกาสของ Digital Health ในไทยยังมีอยู่ เพียงแต่ต้องมีระบบกลางที่เชื่อมข้อมูล บันทักทางการแพทย์และการสื่อสารสำหรับทุกโรงพยาบาลจริงๆ ไม่ใช่ต่างคนต่างพัฒนาระบบของตัวเอง อีกทั้งกฎหมายก็ยังไม่ได้สนับสนุนให้ทำระบบกลางสำหรับโรงพยาบาลมากเท่าไหร่ จึงมองว่า Digital Health ในไทยยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นมากๆ
จึงมีการตั้งข้อสังเกตในช่วงเสวนาว่า ระบบกลางที่ว่านั้นอาจเกิดขึ้นไม่ได้จริง เพราะบางทีผู้ป่วยไม่อยากที่จะให้ข้อมูลกับบางโรงพยาบาลที่ตัวเองเคยรักษามาก่อนกับโรงพยาบาลก่อนหน้านั้นก็ได้ ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีอย่าง Blockchain เข้ามาทำระบบกลางและแชร์ข้อมูลให้กับทุกโรงพยาบาล แต่หากกฎหมายไม่รองรับ ระบบกลางที่ว่าก็เกิดขึ้นได้ยากเช่นกัน
ส่วนเทคโนโลยีอย่างอื่นเช่น Telemedicine จะทำให้แพทย์มีความสามารถในการรักษาผู้ป่วยได้มากขึ้นและปฎิเสธในการรับเคสรัษาผู้ป่วยยากๆได้น้อยลงเช่นกัน
ได้เงินทุนทำ Fintech กว่า 50 ล้านบาทในรอบ Seed Funding ทำได้อย่างไร?
ทิ้งท้ายกับช่วงสุดท้ายของงานกับ นายตฤบดี อรุณานนท์ชัย ผู้ร่วมก่อตั้งและ COO จาก MoneyTable ซึ่งเป็น FinTech ที่สร้างระบบนิเวศเชื่อมสถาบันทางการเงิน ธุรกิจประกัน บุคคลและหน่วยงานรัฐ ขึ้นมาพูดในช่วง Raising Thailand’s Biggest Seed Round ถึงเคล็ดลับการระดมทุนในรอบ Seed Funding ให้ได้ถึง 1.5 ล้านเหรียญ (กว่า 50 ล้านบาท) ว่า
FinTech เป็นโอกาสใหญ่ในไทย ต้องใช้กำลังคน ใช้วิศวกร คนที่มีความเชี่ยวชาญจำนวนมากมาพัฒนาระบบและบริการ เราต้องพิสูจน์ให้นักลงทุนเห็นให้ได้ถึงวิสัยทัศน์และทรัพยากรที่จำเป็นต้องใช้จริงๆ เราถึงจะได้เงินจำนวนขนานนั้นได้
ได้ทุนขนาดนี้ ทำให้ MoneyTable ที่วางตำแหน่งตัวเองเป็น “UBer สำหรับบริการทางการเงิน” ให้กับคนไทยและอาเซียนได้ ส่วนพันธมิตรของ MoneyTable ก็เข้าถึงลูกค้าที่น่าเชื่อถือจากระบบ Credit Scoring ได้
แหล่งที่มา
งาน Echelon Thailand 2017 วันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม 2560 ที่ C ASEAN ตึก Cyberworld Tower ชั้น 18