ผลสำรวจเม็ดเงินโฆษณาดิจิทัลในปี 2559 พบว่ามีมูลค่ารวมกว่า 9,883 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 22% จากปี 2558 แถมแนวโน้มยังจะเพิ่มมากขึ้นในปีต่อๆ ไปอีกด้วย (ข้อมูลเพิ่มเติม) จึงทำให้เราเห็นได้ว่า สื่อดิจิทัลมีบทบาทต่อผู้บริโภคในการสร้างการรับรู้ต่อตราสินค้า/บริการ และต่อการตัดสินใจซื้อสินค้า/บริการเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาร์ทโฟน
ด้วยไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่นิยมใช้สมาร์ทโฟนซึ่งใช้เวลาสูงถึง 6.2 ชั่วโมงต่อวัน มากกว่าการดูทีวีถึง 3 เท่า ทำให้เกิด Micro Moment ของการ “ปลดล็อค” หรือที่เรียกว่า Unlocked Screen คือการหยิบเอาเสี้ยวหนึ่งของพฤติกรรมผู้บริโภคนำไปสร้างเป็นธุรกิจเป็นแอปพลิเคชั่นที่สามารถทำเงินได้จากการปลดล็อคหน้าจอมือถือ ซึ่งขณะนี้กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในเมืองไทย มีเจ้าหนึ่งที่เป็นผู้นำตลาดในขณะนี้ ชื่อว่า AdPocket
AdPocket เปลี่ยนหน้าจอล็อคมือถือ ให้เป็นเงินติดกระเป๋า
httpv://youtu.be/POK2eQV9nvE
สำหรับภาพรวมของ AdPocket คือแอปฯ โฆษณาบนหน้าจอล็อคสกรีนแอปฯ แรกของประเทศไทย ที่ผู้ใช้จะได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ จากการดูโฆษณาและการปลดล็อคหน้าจอบนมือถือ เช่น การสะสมแต้มมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินสด เติมเงินมือถือ แลกซื้อ Line Coin, บัตรทรูมันนี่, ซื้อแอปต่างๆ บน Play Store, เติมเงินเกมบน Facebook, จ่ายบิลต่างๆ หรือใช้สำหรับซื้อของผ่านเว็บไซต์ชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น Weloveshopping, iTruemart เป็นต้น (คลิกอ่านเพิ่มเติม)
แต่ครั้งนี้เราจะเจาะลงลึกไปในรายละเอียดมากขึ้นกว่าที่คนทั่วไปรู้จัก เพราะเราจะเน้นย้ำไปถึงความโดดเด่นในการเป็นทางเลือกใหม่ที่มาแรงของการลงโฆษณาบนมือถือ กับการก้าวขึ้นเป็น Media on Mobile อันดับ 1 ของประเทศ พร้อมยอดดาวน์โหลดกว่า 2 ล้านอินสตอล และสถิติการใช้งานของ user ที่ใช้เวลากับแอปฯ นี้นานถึง 1-2 ชั่วโมงต่อวัน ดังนั้น MarketingOops! จึงขอโอกาสพูดคุยแบบเจาะลึกกับ อลิศรา ดำรงค์พานิชหรือ คุณกุ๊ก Mobile Marketing Director ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ AdPocket กัน
สิ่งที่ทำให้ user ดาวน์โหลดแอปฯ ที่เต็มไปด้วยโฆษณา?
เชื่อว่าน่าจะเป็นคำถามที่หลายคนสงสัยว่าในยุคที่ผู้คนเบื่อกับโฆษณาที่ปรากฏบนคลิป แถมยังจ้องที่จะ Skip ให้มันผ่านไปเร็วๆ แต่ทำไมถึงมีผู้คนมากมายยอมดาวน์โหลด AdPocket ซึ่งตรงจุดนี้ คุณกุ๊ก อธิบายว่า มันเป็นเพราะผลประโยชน์ทั้งเรื่องของการสะสมแต้มแลกเป็นเงิน และผลประโยชน์ด้านเนื้อคอนเทนต์มากมายที่ AdPocket นำเสนอให้กับ user
“ทุกครั้งที่ดาวน์โหลดมันก็จะมีแต้ม ซึ่งแต้มจะนำไปสะสมแลกเป็นเงินสดเข้า true wallet ก็ได้ หรือแลกเป็นสิ่งของก็ได้ ซึ่งการเข้า true wallet ก็สามารถเอาไปใช้จ่ายได้มากมายเลย เช่น ไปซื้อของใน 7Eleven เอาไปซื้อของออนไลน์ จ่ายค่าน้ำค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ หรือแม้แต่การเข้าไปอ่านข่าวของ INN ฟรี การอ่าน Ebook จากอุ๊คบี เป็นต้น นี่คือผลประโยชน์คร่าวๆ ที่เราให้”
ปัจจุบันมียอดดาวน์โหลดเท่าไหร่?
ก่อนที่จะตอบคำถามของเรา คุณกุ๊ก ชี้ให้เห็นว่า รูปแบบโฆษณาบนมือถือลักษณะนี้เป็นที่นิยมมากที่เกาหลี โดยมีอยู่ 3 เจ้าหลักๆ ด้วยกัน มียอดอินสตอลสูงถึง 20 ล้านอินสตอล โดย AdPocket ไทยเองก็ได้ยกเอาเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้ ซึ่งปัจจุบันไทยมียอดดาวน์โหลดมากกว่า 2 ล้านครั้งแล้ว
“ตัวเลขดาวน์โหลดของเราเกิน 2 ล้านครั้งแล้ว เป็นตัวเลขที่เราวัดผลเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่เรายังไม่ได้ทำการตลาดรุกหนักอะไรมากนัก ส่วนใหญ่เป็นยอด ออร์แกนิกทั้งนั้น เพราะมีการบอกกันแบบปากต่อปากในหมู่ user และปีนี้ก็น่าเพิ่มขึ้น โดยเราตั้งเป้าไว้ที่ยอดอินสตอล 5 ล้านครั้ง”
Adpocket ช่วยงานด้านการตลาดและการโฆษณาได้มีประสิทธิภาพแค่ไหน?
อย่างที่เกริ่นไปว่าเราจะเน้นในส่วนงานด้านการตลาดและการโฆษณาเป็นพิเศษ จะเรียกว่า AdPocket เป็นเครื่องมือสำคัญให้กับนักการตลาดและผู้ลงโฆษณาก็ว่าได้ว่า เนื่องจากแอปฯ ของเราก็จะมีประโยชน์มากในการสร้าง Awareness กับผู้บริโภค เพราะทุกครั้งที่เปิดมาก็จะเห็นโฆษณาขึ้นมาอยู่บนหน้าจอมือถือเลย
“เราสามารถสังเกตจากพฤติกรรมของตัวเองเลยก็ได้ อย่างง่ายๆ เลยเช้าขึ้นมาก็หยิบมือถือก่อนนอนก็หยิบมือถือ เราหยิบและปลดล็อคมือถือแทบจะทั้งวัน ซึ่งล่าสุดจากการรีเสิร์ชของเราเองก็พบว่า เฉลี่ยแล้ว user หนึ่งวันเปิดมือถือขึ้นมาใช้งานประมาณ 47 ครั้ง ดังนั้น จึงอาจพอบอกได้ว่าAdPocket เป็นสื่อโฆษณาที่มีประสิทธิภาพมากในยุค MobileFirst เป็นสื่อที่จะตามติดผู้บริโภคไปในทุกที่ 24 ชั่วโมง เพราะในทุกๆ ครั้งที่คุณหยิบมือถือขึ้นมาคุณก็จะเห็นโฆษณาแล้ว มันเหมือนการสร้าง Awareness และสร้างความจดจำไปเรื่อยๆ”
คุณสมบัติเด่นที่ทำให้ AdPocket เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับนักการตลาดมีอะไรบ้าง?
คุณกุ๊กอธิบายว่า นอกเหนือจากการสร้าง Awareness อย่างมากแล้ว AdPocket ยังมีความโดดเด่นที่มากกว่าช่องทางโฆษณาออนไลน์โดยปกติอีกด้วย
1.สามารถสร้าง High Reach คือ เห็นโฆษณาได้แบบจังๆ ด้วยความที่เป็น First Screen อย่างบางคนแม้ว่าจะเล่นเฟซบุ๊กบ่อยๆ แต่ก็อาจจะจำโฆษณาที่เฟซบุ๊กลงไม่ได้ แต่ในขณะที่โฆษณาของ AdPocket ทุกครั้งที่เปิดมือถือมาก็เจอ มันเห็นชัดและจดจำได้ง่าย
2.การต่อต้านน้อย Low aversion เปรียบเทียบง่ายๆ อย่าง Youtube สิ่งที่คนดูทั่วไปทำเวลาที่โฆษณาขึ้นมา คือจ้องไปที่ปุ่ม Skip พอมันโผล่ปุ๊ปก็กด skip ทันที แต่ถามว่าคนชอบโฆษณาบน Lock Screen หรือไม่ คำตอบก็คือ คนก็ยังไม่ชอบอยู่ดี แต่สำหรับ AdPocket คนที่ไม่ชอบโฆษณาบน Lock Screen จนถึงขั้นรับไม่ได้เลยเขาก็จะไม่ลงแอปฯ แต่แรกอยู่แล้ว ดังนั้น user ที่ใช้ AdPocket จึงเป็น user ที่โอเคกับโฆษณาและค่อนข้างรับได้กับการกดดูโฆษณา จะด้วยความที่เขาเห็นถึงผลประโยชน์ก็ดี หรือเขาชอบคอนเทนต์ก็ดี ดังนั้น ถ้าคนไหนที่ใช้แอปฯ ของเราก็แสดงว่าเขาแฮปปี้และโอเคกับสิ่งนี้
3.สร้าง Engagement ได้ง่ายมาก เพราะเมื่อมันมาอยู่บน Lock Screen เมื่อ user เห็น หากเขาสนใจโฆษณาตัวไหน ก็สามารถเอานิ้วแตะลากไปทางซ้าย นั่นคือเขามีปฏิสัมพันธ์กับโฆษณาชิ้นนั้นแล้ว
4.สามารถสร้าง Massive Display คือการเห็นบ่อยๆ เปิดมาก็เห็นเลย และยิ่งคนก็ใช้งานมือถือบ่อยอยู่แล้วก็จะยิ่งเห็นมากขึ้น
การบริการที่มีให้กับลูกค้ามีอะไรบ้าง?
คุณกุ๊กอธิบายในจุดนี้ว่า ปัจจุบันลูกค้าของเราส่วนใหญ่มาจากแบรนด์โดยตรง ซึ่งมีอยู่ถึง 90% และเป็นเอเจนซี่ 10% และลูกค้าที่เข้ามาก็มีความต้องการที่หลากหลาย โดยเราจะแบ่งประเภทการบริการของเราเป็นไปตามความต้องการของลูกค้า ดังนี้
1.ลูกค้ากลุ่มที่ต้องการ Awareness เช่น ต้องการนำเสนอโปรโมชั่นต่างๆ ลดแลกแจกแถม และมีสิทธิพิเศษต่างๆ ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้ต้องการให้เห็นโปรโมชั่นไวๆ เพราะถ้าเป็นแบนเนอร์ตามเว็บทั่วไปกว่าคนจะเห็นก็ต้องใช้เวลา แต่ถ้าลูกค้ามาลงกับเรา user เราที่มีมากกว่า 2 ล้านคนก็จะเห็นทันทีเลย ซึ่งได้ประโยชน์ทั้งแบรนด์และก็ user เอง นอกจากนี้ เรายังสามารถจับ target คนเห็นโฆษณาได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดเลือกเพศ อายุ จังหวัดเครือข่ายมือถือ เวอร์ชั่นของระบบปฏิบัติการโทรศัพท์มือถือ วันและเวลา รวมถึงความสนใจซึ่งแบ่งได้ถึง12 ประเภท เป็นต้น
2.ต้องการยอดวิว ในการชมวิดีโอ เช่น ลงบนYoutubeเราก็สามารถสไลด์แล้วคลิกได้เลย ซึ่งจะทำให้คนเห็นโฆษณาแล้วดูตั้งแต่ต้นจนจบ
3.Chart Boosting เป็นลูกค้ากลุ่มแอปพลิเคชั่น ทั้งนี้ เวลาที่ลูกค้าทำแอปฯขึ้นมาก็อยากจะให้คนใช้แอปฯ เยอะๆ อยากให้คนมาดาวน์โหลด ซึ่งกลยุทธ์หนึ่งของโมบาย มาร์เก็ตติ้ง ก็คือการทำให้แอปฯ ติดท็อปชาร์ตในกูเกิ้ลเพลย์ และลูกค้าส่วนใหญ่ได้มาลงโฆษณากับเรา ก็จะติดท็อปชาร์ตกันหมด สิ่งนี้ก็จะจูงใจให้กับ user มาดาวน์โหลดแอปฯ ของลูกค้าได้นั่นเอง
4.ลูกค้าต้องการสร้าง Engagement เพราะลูกค้าบางรายที่มาอาจจะไม่ได้ต้องการเน้นสร้าง awareness แต่ต้องการสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้งานมากกว่า ซึ่งส่วนใหญ่มักจะไปทำลงใน Facebook แต่ของเราก็ทำได้ โดยเราจะเป็นเหมือนประตูไปสู่แบรนด์ โดยอาจจะเข้าไปหายัง Facebook หรือเว็บไซต์ หรือไมโครไซท์สำหรับแคมเปญต่างๆ ก็ได้ หรือจะเข้าไปยังโมบายแอปฯ ที่ลูกค้าทำไว้เองก็ได้
5.Drive Sale ต้องการผลักดันยอดขาย ด้วยการที่เรามี user อยู่มากกว่า 2 ล้านคน และโดยเฉลี่ยจะมีเงินอยู่ในเครื่องประมาณ 100 บาท ดังนั้น ทั้งหมดคือมีเงินถึง 200 ล้านบาท เป็น eMoneyที่เขายังไม่เอาออกมา เป็นเงินที่เขาได้มาฟรี นอกจากนี้ ยังมีแจกเป็น eCoupon ด้วย
เป้าหมายในอนาคตของ AdPocket จะขยายการเติบโตไปในทิศทางไหน?
คุณกุ๊กกล่าวว่า แน่นอนว่าเราพุ่งเป้าไปที่การขยายฐาน user และในอนาคตผู้ใช้ AdPocket อาจไม่ต้องเสียค่าโทรศัพท์ก็เป็นได้ โดยสามารถนำแต้มจากการปัดหน้าจอไปเรื่อยๆ ไปจ่ายค่าโทรศัพท์แทนได้ หรือ นำแต็มที่เก็บได้ไปใช้ในการการกุศล หรือ กิจกรรมอื่นๆ เป็นต้น
“จะว่าไปก็อาจจะเรียกว่าเป็นมิชชั่นของบริษัทเรา ที่เราอยากจะให้คนไทยใช้โทรศัพท์ฟรี เราเองก็มีพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่ง คือ เราเป็นพาร์ทเนอร์กับเครือ Ascend นั่นหมายความว่าเงินใน AdPocketก็อาจจะไม่ได้ลิงก์แค่กับ Truewallet แล้วแต่ลิงก์กับ Alipayด้วย ซึ่งยังมีโอกาสต่อยอดไปได้ไกลอีกมากมาย” คุณกุ๊กกล่าว
สุดท้ายมองเทรนด์การโฆษณาในอนาคตว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป?
คุณกุ๊ก ระบุว่า ตอนนี้นักการตลาดคงทราบดีว่า เทรนด์ของโฆษณาบนมือถือมันเริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับการเพิ่มขึ้นของการใช้งานสมาร์ทโฟน เพราะฉะนั้นยอดของสมาร์ทโฟนโทรศัพท์มือถือจะต้องโตขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้น AdPocketก็น่าจะได้เป็นทางเลือกใหม่ที่มาแรงของการลงโฆษณาบนมือถือให้กับผู้ลงโฆษณาได้
“เราพอจะเข้าใจดีว่า เมื่อเราเป็นสื่อใหม่อาจจะมีหลายคนที่ตั้งคำถาม หรือมีเควสชั่น คืออาจจะไม่รู้สึกชอบแต่แรก เอาความรู้สึกไปตัดสินก่อนแล้ว ว่าไม่ชอบโฆษณาบนหน้าจอ อย่างไรก็ตาม คิดว่าดีที่สุดแล้วคือมาลอง ถ้าไม่มั่นใจก็เทสต์ดู ก็เป็นชาเลนจ์ให้มาร์เก็ตเตอร์ดูว่าดีจริงหรือไม่ และถ้าดีจริงก็ให้มาใช้ต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งยืนยันว่าเทรนด์ของการโฆษณาบนมือถือโดยเฉพาะมันมาแล้ว และจะอิมแพ็คอย่างแน่นอน”
ในเมื่อเราทราบดีอยู่แล้วว่าเทรนด์ Mobile First กำลังยึดครองพื้นที่อยู่ในขณะนี้ ฉะนั้นการลงโฆษณาโดยเลือกลงไปในสิ่งที่จะทำให้ user เห็นเป็นสิ่งแรกก็น่าจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากกว่าสื่อโซเชียลใหญ่ๆ มากมาย ที่คอนเทนต์ทุกอย่างลงไปกองในที่ๆ เดียว ดังนั้น ทางเลือกใหม่ของการลงโฆษณาผ่านหน้าจอล็อคสกรีน ก็น่าจะเป็นทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจที่นักการตลาดและผู้ลงโฆษณาไม่ควรมองข้ามอย่างยิ่งค่ะ
ข้อมูลจำเพาะ
สำหรับ AdPocket มีผู้ใช้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดกว่า 2,200,000 ราย โดยมีสถิติที่สำคัญได้แก่ กลุ่มผู้ใช้ส่วนใหญ่เป็น ผู้ชายที่ 53.5% กลุ่มผู้ใช้ส่วนใหญ่มีช่วงอายุ 15-19 ที่ 37% และช่วงอายุ 20-25 ที่ประมาณ 36% ในส่วนของความสนใจหลักของผู้ใช้ ได้แก่ เกมส์ 62%, ไอที 50%, การเงิน 44%, ช้อปปิ้งและเอนเตอร์เทนเม้น 42% และ กีฬา 39% ซึ่งผู้ใช้แต่ละคนมีความสนใจได้หลายอย่าง
ในส่วนของพฤติกรรมการปลดล็อคมือถือ โดยเฉลี่ยแล้วคนไทยจะหยิบมือถือขึ้นมาปลดล็อคเพื่อใช้งาน เฉลี่ยถึงวันละ 47 ครั้ง โดยผู้ชาย จะมีพฤติกรรมปลดล็อค มากกว่าผู้หญิง โดยผู้ชายจะปลดล็อคเฉลี่ยวันละ 48 ครั้ง และ ผู้หญิงเฉลี่ยวันละ 46 ครั้ง ช่วงอายุที่มีการหยิบมือถือขึ้นมาปลดล็อคบ่อยครั้งที่สุด คือ 20-25 ปี โดยเฉลี่ยถึงวันละ 53 ครั้ง โดยคนกรุงเทพมีการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาปลดล็อคใช้งานสูงสุดถึงวันละ 55 ครั้งต่อวัน
นอกจากนี้ Adpocket ยังพบว่าโฆษณาบนหน้าจอมือถือ มีประสิทธิภาพสูงเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยมี CTR (click through rate) สูงถึง 5-10% สูงกว่าโฆษณาประเภท Display Banner ทั่วไปถึง 50 เท่า โดยอาจจะด้วยเพราะ เป็นโฆษณาที่ปรากฎขึ้นในหน้าจอแรกของมือถือ ซึ่งผู้ใช้งานจะพบเห็นโฆษณาในความถี่ที่ค่อนข้างบ่อย โดยในด้านของปริมาณการใช้งานนั้น มีการแสดงโฆษณาบนจอมือถือถึงกว่า 300 ล้านวิวต่อเดือน
Copyright © MarketingOops.com