ทราบหรือไม่ ‘ไทย’ เคยติดอันดับ 2 ของโลก จากการตายด้วยอุบัติเหตุบนท้องถนน และที่น่าตกใจคือผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บยังมีอายุน้อยลงเรื่อยๆ นั่นหมายความว่าผู้ประสบเหตุส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเยาวชน เป็นกลุ่มกำลังสำคัญที่จะสร้างชาติต่อไปในอนาคต ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการพัฒนาประเทศชาติเลย ดังนั้น หลายฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชนต่างรณรงค์สร้างจิตสำนึกที่ดีในการขับขี่รถให้เกิดขึ้นกับกลุ่มเยาวชน
ธนชาตประกันภัย หนึ่งในบริษัทเอกชนที่ทำงานรณรงค์เรื่องนี้มาโดยตลอด ได้จัดโครงการ Drive DDUnited Season 2 ภายใต้หัวข้อ “It’s Cool To Be Calm ขับอย่างเท่ ดูดี มีสติ” เป็นโครงการประกวดคลิปวิดีโอของกลุ่มนักศึกษาระดับอุดมศึกษาทั่วประเทศ โดยผู้ชนะการประกวดจะได้ รับทุนการศึกษา 100,000 บาท พร้อมรางวัลพิเศษด้วยการจัดส่งคลิปพร้อมพาทีมผู้ชนะไปร่วมงานการประกวด Adfest 2017 ซึ่งเป็นเวทีใหญ่ระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก มูลค่ารวมกว่า 200,000 บาท
โดย นายพีระพัฒน์ เมฆสิงห์วี กรรมการผู้จัดการบริษัทธนชาตประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงโครงการนี้ว่า จากอัตราการเสียชีวิตของอุบัติเหตุบนท้องถนนในแต่ละปี ได้สร้างผลกระทบและทำให้ประเทศสูญเสียทรัพยากรบุคคล และค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก จึงจำเป็นที่จะต้องร่วมกันป้องกันและแก้ไขร่วมสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนให้เกิดขึ้น ธนชาตประกันภัยจึงได้จัดโครงการ Drive DDUnited Season 2 ขึ้นมา ซึ่งเป็นกิจกรรมสาธารณประโยชน์ ด้านการรณรงค์สร้างความปลอดภัยบนท้องถนนที่จัดมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยมุ่งหวังให้โครงการนี้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนสร้างวิถีการใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย โดยเฉพาะกับกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่จะมีส่วนช่วยรณรงค์ให้ทุกคนหันมาใส่ใจสังคมและมีจิตสำนึกที่ดีในการขับขี่รถยนต์ เพื่อสร้างความปลอดภัยทางถนน ลดการสูญเสีย สร้างวัฒนธรรมที่ดีบนถนนในสังคมไทยอย่างยั่งยืน ซึ่งจะส่งผลดีต่อสังคมและประเทศไทยในภาพรวมต่อไป
นอกจากนี้ ปีนี้จะพิเศษกว่าทุกครั้งเพราะเราได้นำนักศึกษาทีมที่ชนะไปร่วมงาน Adfest 2017 เวทีประกวดโฆษณาครั้งสำคัญในระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกอีกด้วย ซึ่งโดยปกติแล้วไม่ได้เปิดให้คนทั่วไปหรือนักศึกษาได้เข้าไปร่วมงาน แต่เราเห็นว่าจะเป็นการเปิดประสบการณ์ครั้งสำคัญให้กับเยาวชนไทยซึ่งต่อไปจะเติบโตไปเป็นผู้สร้างสรรค์คอนเทนต์ในอนาคต
“ถามว่าทำไมเราถึงต้องผลักดันโครงการไปถึง Adfest เราเชื่อว่าถ้าวันนี้เราเปิดโอกาสให้กับน้องๆ ตรงนี้ ที่มีศักยภาพในการทำคลิปที่ดีผ่านการอบรมจากเวิร์คช้อปของโครงการที่เรานำเอาเหล่าพี่ๆ มืออาชีพมาช่วยพัฒนาทักษะความสามารถให้งานออกมาเป็นงานดีงานที่มีคุณภาพ และเมื่อถึงวันหนึ่งที่น้องๆ กลุ่มนี้ได้ออกไปเป็นผู้ผลิตสื่อเสียเอง เรามั่นใจว่าการปลูกฝังจากการสร้างแรงบันดาลใจตรงนี้น่าจะทำให้ในอนาคตเขาจะกลายเป็นกำลังสำคัญในการผลิตสื่อที่ดีที่สุดออกมาสู่สาธารณะชน เพราะธนชาตไม่ได้มองแค่จบโครงการ แต่เด็กๆ กลุ่มนี้ จะต้องเติบโตไปเป็น Media ที่ดีในอนาคต กำลังสำคัญในการร่วมกันช่วยปลูกฝังจิตสำนึกที่ดีออกไปสู่งสังคมได้”
และนอกจากพาผู้ชนะเข้าร่วม Adfest แล้ว โครงการนี้ยังได้จัดเวิร์คช้อปให้ผู้เข้าร่วมแข่งขันได้รับคำแนะนำและประสบการณ์ดีๆ จากพี่ๆ มืออาชีพในวงการโฆษณาและโปรดักชั่นอีกด้วย อาทิ คุณอั๋น วุฒิศักดิ์ อนรรฆพ หรือ ผู้บริหารและผู้กำกับฝีมือดีจาก FACTORY 01, คุณดั้น วีรชน วีรวรวิทย์ นักโฆษณาจาก Well Done Bangkok, คุณป๋อม กิตติ ไชยพร ครีเอทีฟแถวหน้าของวงการโฆษณาจากชูใจกะกัลยาณมิตรฯ, คุณกอล์ฟ นันทวัฒน์ ชัยพรแก้ว ผู้บริหารแห่ง ซาทชิ แอนด์ ซาทชิ ซึ่งจะมาช่วยทำให้นักศึกษาพัฒนาฝีมือได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้น
และเมื่อไม่นานมานี้ได้มีการประกาศผู้ชนะเลิศไปแล้ว ได้แก่ ทีม Shut up Studio จากมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา ชนะเลิศประเภทสร้างสรรค์ (Creativity) และ ทีม Dent Drive จากมหาวิทยาลัยมหิดล คว้ารางวัลรองชนะเลิศ ซึ่ง MarketingOops! ก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับทีมผู้ชนะทั้ง 2 ทีม
ทีม Shut up Studio
ทีมจากรั้วสวนสุนันทาฯ ประกอบด้วย 3 หนุ่ม ได้แก่ นายภานุวิชย์ โสภณสิริรักษ์ (มิกซ์) นายพุฒิพงศ์ ชูเดช (ต๊ะ) และนายปริวรรต จิรภาสธนวัต (แฮม) นักศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะวิทยาการการจัดการ กับผลงานที่ชื่อว่า “4001” โดยมิกซ์ เป็นตัวแทนกลุ่มอธิบายถึงคอนเซ็ปต์ของงานชิ้นนี้ว่า โปรเจ็คต์ของเราใช้ต้นไม้ในการเล่าเรื่อง โดยเป็นการพูดถึงความรู้สึกของต้นไม้ที่โดนกระทำถูกรถชนบ่อยๆ แต่ก็ถูกมนุษย์โทษหาว่าเป็นเหตุทำให้เกิดอุบัติเหตุ เพราะมนุษย์มักไม่โทษตัวเองแต่จะโทษสิ่งรอบข้างเสมอ ดังนั้น เพื่อให้เกิดความตระหนักและเตือนสติคนขับ เราจึงอยากให้เกิดการฉุกคิดว่าอันที่จริงอาจเป็นเพราะตัวเราเองก็ได้ที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ เราต้องการจะให้คนดูได้คิดว่าความจริงไม่ใช่เพราะต้นไม้หรือเพราะอะไร แต่เพราะตัวเราเอง ซึ่งคิดว่าที่ทำให้สามารถเอาชนะทีมอื่นๆ ได้น่าจะมาจากการที่ผลงานเราดูแปลกและแตกต่างไปจากทีมอื่นๆ
4001
httpv://youtu.be/JVITL6_uAdU
ส่วนเรื่องการได้เวิร์คช้อปกับพี่ๆ มืออาชีพ ทีม Shut up Studio บอกว่าเป็นประโยชน์มากกับการได้เรียนรู้งานจากคนโฆษณาตัวจริง
“พี่ๆ ให้มุมมองในการทำงานว่าเวลาทำงานให้เรานึกถึงว่าลูกค้าจะชอบการทำงานของเราหรือไม่ ไม่ใช่เราทำในแบบที่เราชอบอย่างเดียว ให้คิดด้วยว่างานของเราจะตอบโจทย์ลูกค้าได้มากแค่ไหน คิดเผื่อในการทำงานเชิงการขายของและทำให้เป็นแมสมากขึ้น เข้าใจได้ในกลุ่มคนมากๆ” ต๊ะ บอกเล่าประสบการณ์ในการร่วมเวิร์คช้อป
อีกหนึ่งความพิเศษคือได้ไปร่วมงาน Adfest2017 แฮม กล่าวว่า ดีใจมาก ส่วนตัวชอบดูงานโฆษณา งานไวรัล พวกนี้ก็ชอบอยู่แล้ว และพอรู้ว่าจะได้ไป Adfest งานใหญ่ระดับภูมิภาค ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่นักศึกษาทั่วไปจะได้มีโอกาสไปดู แล้วเราได้เป็นกลุ่มนักศึกษาเด็กยังเรียนไม่จบ แต่ได้ไปดูงานครั้งนี้ ได้ไปดูงานจากประเทศต่างๆ มันเป็นอะไรที่เราไม่เคยสัมผัส ไม่เคยได้ดู หรือบางทีดูตามยูทูบบ้าง แต่อันนี้เราได้ไปดูของจริงด้วยตัวเองเลยรู้สึกดีมากๆ
ทั้งนี้ ทั้งสามหนุ่มย้ำว่า โครงการนี้ช่วยเปิดโอกาสให้กับนักศึกษาในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของการเปิดประสบการณ์ในการทำงานร่วมกับมืออาชีพ การได้มาเห็นงานจากเพื่อนๆ มหาวิทยาลัยอื่นๆ รวมทั้งได้สร้างชื่อเสียงให้กับมหาวิทยาลัยด้วย
“โครงการนี้ให้อะไรหลายอย่าง ให้ประสบการณ์ และทำให้คนรู้จักเรามากขึ้น รู้จักมหาวิทยาลัยเรามากขึ้น ช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับสถาบัน ทำให้เราได้รู้จักเพื่อนจากสถาบันอื่นๆ ที่ชอบทำหนังเหมือนๆ กัน ได้แลกเปลี่ยนแนวคิดและมุมมองกัน รู้สึกว่าตัดสินใจไม่ผิดที่ได้มาร่วมโครงการกับธนชาต” มิกซ์ สรุปความคิดของทั้งทีม
สุดท้ายสิ่งที่ทีม Shut up Studio ย้ำก็คือ เรื่องการเตือนสติจากอุบัติเหตุโดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งทุกคนเห็นตรงกันว่าโครงการนี้น่าจะช่วยปลูกจิตสำนึกในกลุ่มคนรุ่นใหม่ให้มีสติในการขับรถมากขึ้นได้
“อย่างแรกก็สร้างจิตสำนึกของพวกผมเองเลย เพราะเราจะทำคอนเทนต์ต้องศึกษาก่อนว่า สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุคืออะไร เราก็รู้ว่ามันคือตัวเรานี่แหละ นอกจากนี้ ยังมีทีมอื่นในคอนเซ็ปต์อื่นอีก ก็ทำให้เราได้แง่คิดมุมต่างๆ ที่สามารถนำมาปรับใช้กับตัวเองได้ ซึ่งผมก็เชื่อว่าทีมอื่นๆ ที่เป็นวัยเดียวกันก็น่าจะได้ซึมซับเรื่องพวกนี้ด้วย เตือนสติตัวเองไปด้วย แล้วตัวงานยังมีการส่งไปให้คนอื่นๆ โหวตด้วยอีก และถ้าคนที่เข้ามาโหวตพอเขาได้ดู เขาก็น่าจะได้อะไรกลับไปบ้างแน่นอน” แฮม กล่าวทิ้งท้ายอย่างมั่นใจ
ด้านอาจารย์ผู้ฝึกสอน อ.ชิณญ์ ตั้งฐานธนา อาจารย์ประจำคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา กล่าวถึงโครงการนี้ว่า สำหรับโครงการนี้ถือว่าเป็นโครงการที่ดีมาก ที่ทำให้เด็กได้มีโอกาสแสดงฝีมือ กระตุ้นความรู้สึกตื่นตัวในการแข่งขันให้เกิดขึ้น ที่สำคัญ จุดนี้ต้องชื่นชมทางธนชาตอย่างมากเลยก็คือ เปิดอิสระทางความคิดในการทำงานให้กับเด็กๆ ไม่จำกัดกรอบ ไม่เน้นขายของ เป็นโครงการที่ทำเพื่อเด็กๆ โดยแท้
“ข้อดีที่เห็นได้ชัดเลยสำหรับโครงการนี้ก็คือ ไม่มีงานเชิงพาณิชย์เข้ามาแทรกแซงเลย ธนชาตเปิดอิสระมาก คือไม่มีว่าต้อง tie in ไม่ต้องแช่แบรนด์ ให้อิสระทางความคิดมากจุดนี้ชัดเจน”
อ.ชิณญ์ กล่าวด้วยว่า นอกจากความตั้งใจของนักศึกษาแล้ว อีกสิ่งที่ต้องขอขอบคุณคือการสนับสนุนจากทางผู้ใหญ่ในมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆ ที่ให้ทำให้โครงการได้รับชัยชนะ โดยเฉพาะท่านคณบดี ผศ.ดร.ประทีป วจีทองรัตนา คณะวิทยาการจัดการ ท่านเป็นที่ปรึกษาและผู้สนับสนุนส่งเสริมการทำงานในครั้งนี้ จนสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับทางมหาวิทยาลัยได้ ซึ่งในปีหน้าหากมีการจัดต่ออีกอยากจะสนับสนุนให้นักศึกษาได้เข้าร่วมอีกครั้งเช่นกัน
ทีม Dent Drive
สำหรับทีมนี้มีความน่าสนใจตรงที่มีความสนใจเป็นการส่วนตัวในการเข้าร่วมกิจกรรมทั้งที่ไม่ได้เรียนมาทางด้านนี้โดยตรง ซึ่งประกอบไปด้วย นายเสฏฐวุฒิ ชูชัยแสงรัตน์ (บิว) และ นายรัชพงศ์ ศักดิ์ศรีสุวรรณ นักศึกษาชั้นปีที่ 5 จากคณะทันตแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล โดย “บิว” เป็นตัวแทนกลุ่ม ที่จะมาเล่าถึงประสบการณ์ในการเช้าร่วมโครงการนี้
บิว เล่าถึงสาเหตุว่าทำไมถึงส่งคลิปเข้าประกวดทั้งๆ ที่ไม่ได้เรียนมาทางนี้เลยว่า เป็นเพราะชอบทำกิจกรรม และชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ก็เลยชวนเพื่อนที่ชอบตัดต่อคลิปมาทำด้วยกัน
“คือหนึ่งเลยเราไม่ได้เรียนมาทางนี้ หลายๆ ทีมอาจจะเรียนนิเทศฯ เรียนโฆษณามา หรือบางทีเรียนฟิล์ม ก็จะมีทักษะด้านนี้มาพอสมคร ก็ยอมรับว่างานของเราแรกๆ อาจจะสู้คนอื่นๆ ไม่ได้ แต่มันจะมีวันที่เราได้เวิร์คช้อปซึ่งทางธนชาตได้พาพี่ๆ ที่เป็นมืออาชีพ มาช่วยให้คำปรึกษาแนะนำปรับปรุงผลงานจนงานของเราก็ดีขึ้น จนทำให้คณะกรรมการมองเห็นว่างานของเราน่าจะเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่สามารถพัฒนาศักยภาพไปได้ จนเข้ามาสู่รอบลึกๆ แล้วก็ได้รับรางวัลรองชนะเลิศด้านครีเอทีฟในที่สุด”
สำหรับคอนเซ็ปต์คลิปที่ทำ ชื่อเรื่อง Safety First บิว บอกว่า ทีมของเราได้ไปหาข้อมูลมาแล้วพบว่าสาเหตุส่วนใหญ่ที่เกิดอุบัติเหตุมาจากการเมาแล้วขับ เราก็เลยตัดสินใจทำในคอนเซ็ปต์นี้ เพราะคิดว่าน่าจะเข้าถึงคนได้เยอะที่สุด ซึ่งวิธีการเล่าถ้าเราในแบบทั่วๆ ไปก็ไม่น่าสนใจ เลยมาทำในมุมที่บอกว่า เรื่องนำเสนอผ่านเทคโนโลยีเรื่องความปลอดภัยของตัวรถต่างๆ มากมาย และถึงแม้รถจะมีความปลอดภัยมากแค่ไหนแต่ถ้าขับรถแล้วขาดสติ โดยเฉพาะถ้าเมาแล้วขับยังไงก็ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ เพราะว่าสิ่งที่จะทำให้การขับรถปลอดภัยมากที่สุดก็คือ “สติ” ของเรานั่นเอง
Safety First
httpv://www.youtube.com/watch?v=PcITZA2Ouxk
สิ่งที่ได้จากโครงการนี้นั้น บิวบอกว่า สำหรับพวกเราแล้วก็คือเรื่องการแบ่งเวลา ทำให้เห็นว่า ถ้าเราชอบที่จะทำอะไรแล้ว ถ้าตั้งใจและรู้จักที่จะแบ่งเวลา มันก็สามารถทำทุกอย่างให้สำเร็จได้ แล้วตรงนี้ยังนำไปใช้กับเรื่องอื่นได้ในทุกเรื่องๆ ด้วย ไม่เฉพาะแค่เรื่องเรียนหรือเรื่องงาน
“คือเรียนที่มีอยู่เดิมมันก็หนักมากอยู่แล้ว แล้วเราก็ต้องหาเวลาแบ่งมาทำเรื่องนี้ ก็ยอมรับว่าเหนื่อยมาก บางวันเลิกเรียนดึก เราก็ต้องใช้เวลาหลังเลิกเรียนมาทำโปรเจ็คต์นี้บางทีตีหนึ่งตีสองกว่าจะเสร็จ ถามว่าเหนื่อยไหมก็หนักมาก แต่มันก็คุ้มค่า เพราะเป็นบทพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนเลยว่า ถ้าเราทุ่มเทและตั้งใจทำจริงๆ ไม่ว่าอะไรก็สำเร็จได้”
ทั้งหมดนี้เป็นอีกหนึ่งความพยายามของภาคเอกชนที่จะช่วยลดการสูญเสียที่เกิดจากอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยเน้นแก้ไปที่รากเหง้าของปัญหา นั่นคือการปลูกฝังจิตสำนึกให้กับเยาวชน ซึ่งเป็นได้ทั้งในฐานะผู้เสพสื่อและผู้สร้างสื่อในอนาคต ผลลัพธ์ที่ออกมาแม้ว่าจะไม่ได้ทำให้จำนวนอุบัติเหตุลดลงเหลือศูนย์ แต่มั่นใจว่าจากจุดเริ่มต้นเล็กๆ นี้ น่าจะทำให้เราเห็นการทำหน้าที่สื่อที่ดีมีจิตสำนึกและสร้างจิตสำนึกที่ดีต่อไปในอนาคตได้ อย่างแน่นอน.
Copyright © MarketingOops.com