สวัสดีครับท่านผู้อ่าน บทความนี้เป็นบทความแรก ที่กระผม นายเจริญ (เรียกว่า เจ ก็ได้นะครับ) ได้รับเกียรติ เป็นส่วนหนึ่งของ MarketingOops Insiders จะได้ร่วมแชร์ประสบการณ์และแนวคิด อันหวังว่าจะมีประโยชน์กับท่านผู้อ่านบ้างไม่มากก็น้อย ผมที่ทำงาน เว็บไซต์มากว่า 15 ปี ในบทบาทต่างๆ มีความรักและชื่นชอบในเครื่องมือการตลาดดิจิทัล ที่เก่าแก่ตัวนี้ เชื่อมั่นในพลังและความสำคัญของมัน จึงขออาสา ชวนท่านผู้อ่าน มาฟังเรื่องราวชวนเชื่อ ในภาษาที่เข้าใจง่าย เพื่อปลดปล่อยพลังของเว็บไซต์ ให้เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจของคุณ ไปด้วยกันนะครับ
ในปัจจุบัน ยุคแห่งโซเชียลเน็ทเวิร์ค หลายธุรกิจล้วนมีโซเชียลแชนแนลของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น เฟซบุ๊กเพจ ไอจี (อินสตาแกรม) หรือยูทู้ปแชนแนล ถ้าเป็นธุรกิจที่เปิดตัวมานาน ก็อาจจะมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง ถ้าเป็นธุรกิจที่เปิดขึ้นใหม่ ก็อาจจะยังไม่มีเว็บไซต์
ธุรกิจที่เปิดมานาน มีเว็บไซต์ อาจจะมีความคิด เห็นความสำคัญของเว็บไซต์น้อยลงกว่าสมัยก่อนมาก ไม่ค่อยเห็นความสำคัญของการดูแลเว็บไซต์เหมือนก่อน เนื่องจากความนิยมในการใช้โซเชียลเน็ทเวิร์คของคนไทยที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว สืบเนื่องไปกับการเติบโตของโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนราคาไม่แพง ที่เข้าอินเทอร์เน็ตได้ เดี๋ยวนี้ ไม่ว่าวัยรุ่น หรือแม่ค้า ก็เล่นเฟซบุ๊ก เล่นไลน์ กันจนเป็นเรื่องธรรมดา
ธุรกิจที่เพิ่งเปิด อาจมีความคิดว่า มีเพียงแค่เฟซบุ๊ก ยูทู้ป ก็เพียงพอ ไม่จำเป็นต้องมีเว็บไซต์ก็ได้ นอกจากสะดวก ง่าย แล้วยังฟรีอีกด้วย ไม่เหมือนเว็บไซต์ที่ ดูจะทำยาก ดูแลยาก แล้วยังไม่ฟรี
ก็ไม่ใช่ความคิดที่ผิด แต่อาจจะไม่ถูกทั้งหมด หากถามว่าโซเชียลเน็ทเวิร์ค ช่วยทำในสิ่งที่เว็บไซต์ทำได้ไหม? ผมตอบว่าได้ แต่ไม่ทั้งหมด และไม่เหมือนกัน ธุรกิจมีแต่โซเชียลเน็ทเวิร์คไม่มีเว็บไซต์ได้ไหม? ผมตอบว่าได้ แต่จะดีกว่า ถ้ามีเว็บไซต์ เพราะอะไรกันล่ะ? คำถามนี้อาจลอยขึ้นมาในหัวของท่านผู้อ่าน
ผมจะขอยกตัวอย่าง แง่มุมต่างๆ ที่ทำให้โซเชียลเน็ทเวิร์ค ไม่สามารถทดแทนเว็บไซต์ได้ทั้งหมด
ถ้าคุณเป็น “แบรนด์” (เจ้าของสินค้าและบริการ) คุณน่าจะชอบเว็บไซต์มากกว่า ถ้าคุณทราบว่าเว็บไซต์นั้น สามารถควบคุมได้ สามารถทำให้เป็นอย่างที่เราต้องการได้ แต่โซเชียลเน็ทเวิร์คนั้น ไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมด ไม่สามารถปรับแต่งให้เป็นเหมือนที่เราต้องการได้ทั้งหมด โซเชียลเน็ทเวิร์คมีกฎ กติกาของมัน ที่ “แบรนด์” ต้องยอมรับและปฏิบัติตามในการที่เข้าไปสมัครใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นโซเชียลเน็ทเวิร์คไหน แต่สำหรับเว็บไซต์ เรา (แบรนด์ หรือ เจ้าของธุรกิจ) เป็นผู้สร้างกฎ กติกา สร้างสรรค์ขึ้นมาเอง ให้เนื้อหาและรูปแบบเป็นอย่างที่ใจคิดได้
โซเชียลเน็ทเวิร์ค ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊กเพจ ไอจี หรือยูทู้ปแชนแนล มีกฎ กติกาของมัน แม้เราเข้าไปสมัคร ไปจองพื้นที่ ไปสร้างเนื้อหาไว้ เหมือนว่าจะเป็น “ของเรา” แต่แท้จริงแล้ว มันหาใช่ของเราไม่ หากเราปฏิบัติละเมิดกฎ กติกาของโซเชียลเน็ทเวิร์คนั้นๆ ของที่เราคิดว่าเป็น “ของเรา” ก็อาจจะอันตรธานหายไปได้ในเวลาไม่กี่นาที ภาษาวัยรุ่น เรียกกันว่า เพจบิน หรือ แชนแนลบิน … บินไปไหนแล้วไม่รู้ ไม่กลับมา ในขณะที่เว็บไซต์ มีความเสี่ยงด้านนี้ต่ำกว่ามาก ถ้าคุณไม่ได้ทำเว็บไซต์ที่ผิดกฎหมายของประเทศไทย เว็บไซต์ของคุณก็จะไม่บินไปไหนได้ง่ายๆ
โซเชียลเน็ทเวิร์คแต่ละที่ จะมี “รูปแบบ” ของเนื้อหาที่กำหนดไว้แตกต่างกันไป เช่น เฟซบุ๊กเพจให้ใส่รูปภาพได้ ขนาดเท่านี้ ไม่เล็กกว่านี้ ไม่ใหญ่กว่านั้น รูปที่มีสัดส่วนไม่เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ก็จะถูกแสดงผมเป็นสัดส่วนจัตุรัส หรือสัดส่วนมาตรฐานที่เฟซบุ๊กคิดเอาไว้ ถ้าใส่รูปไปมากๆ เฟซบุ๊กจะเลือกรูปแรกๆ มาแสดงผลให้ 4-5 ภาพแล้วซ่อนรูปอื่นๆ ไว้ภายใต้เครื่องหมายบวก เป็นต้น ในขณะที่ฝั่งยูทู้ป สามารถให้ใส่เนื้อหาในรูปแบบของวิดีโอเท่านั้น ใส่ภาพ หรือข้อความเปล่าๆ ไม่ได้ วิดีโอแต่ละตัว ก็มีการกำหนดความยาวเอาไว้ ห้ามใส่วิดีโอที่มีเนื้อหายาวเกินที่กำหนด ถ้าเราเพิ่งไปใช้บริการในช่วงแรกๆ … ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเว็บไซต์ ที่ธุรกิจเป็นผู้กำหนด สามารถใส่เนื้อหาได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น ข้อความ รูปภาพ วิดีโอ ภาพเคลื่อนไหว กระทั่งเกมบนเว็บ สามารถที่จะจัดรูปแบบการแสดงผลได้ตามที่ต้องการ อยากจะแสดงน้อย มากเท่าใด ก็ทำได้ ไม่ว่าจะขนาด ความยาว ตำแหน่ง ก็สามารถทำได้ ตราบเท่าที่พื้นที่ที่เราเช่าไว้ ยังไม่เต็ม (เว็บไซต์มีพื้นที่จำกัด ขึ้นอยู่กับการเช่าใช้บริการของเรา คล้ายกับเช่าพื้นที่ทำออฟฟิศ) … ถ้าเปรียบโซเชียลเน็ทเวิร์คเป็นแม็กกาซีน ก็คงเป็นแม็กกาซีนที่มีเลย์เอาท์การวางเนื้อหาข้างในที่คล้ายกันทุกฉบับ ไม่ว่าจะเป็นแมกกาซีนหัวไหน ส่วนเว็บไซต์ เป็นแม็กกาซีนที่มีเลย์เอาท์ข้างใน ที่ต่างกันแต่ละเล่ม ที่เป็นคนละหัวกัน ถ้าแมกกาซีนในท้องตลาด หันมาใช้เลย์เอาท์แบบเดียวกันหมด ก็คงจะแปลกน่าด
ไม่ว่าแบรนด์ของธุรกิจ จะมี CI หรือ Corporate Identity สีอะไร ก็ไม่สามารถซ่อนแถบสีฟ้าที่อยู่บนสุดของเฟซบุ๊กเพจไปได้ ไม่สามารถเปลี่ยนสีปุ่มสีเขียวด้านซ้ายล่างไปได้ ไม่สามารถจะเปลี่ยนสีตัวอักษรสีดำ น้ำเงิน ฟ้า ของเฟซบุ๊กเพจ เป็นสีอื่นได้ แต่สำหรับเว็บไซต์ สามารถที่จะสร้างให้มีเฉพาะสีที่ต้องการได้ เปลี่ยนสีตัวอักษรเป็นสีที่ต้องการได้ ไม่ต้องมีสีที่ไม่ต้องการ ที่มารบกวนการสื่อสาร การจดจำของแบรนด์ ผมขอยกตัวอย่างเฟซบุ๊กเพจและเว็บไซต์ของสตาร์บัคส์ต่างประเทศ ที่บนเฟซบุ๊กเพจ จะมีแถบสีฟ้า ตัวอักษรสีดำ อย่างที่ผมกล่าวข้างต้น (สำหรับเฟซบุ๊กเพจ เกือบทั้งหมด เป็นแบบเดียวกันทั่วโลก) ในขณะที่ในเว็บไซต์ จะใช้สีเขียวและน้ำตาล สีหลักของแบรนด์ ถ่ายทอดความเป็นกาแฟ ตัวอักษรในเว็บไซต์ก็ใช้สีน้ำตาล ช่วยถ่ายทอด และตอกย้ำการจดจำแบรนด์ กับผู้ที่เข้ามาชมเว็บไซต์
เป็นเรื่องที่ดีไหมครับ ถ้ามีคนที่เกิดมีความสนใจในสินค้าหรือบริการของธุรกิจของเรา แล้วเข้ามาหาเราในออนไลน์ เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม หาสิ่งที่เขาเคยเห็น หรือเคยอ่าน ถ้าเราตอบสนองเขาได้ดี ก็อาจจะเปลี่ยนเขามาเป็นลูกค้าของเราได้ ใช่ไหมครับ ปัญหาอยู่ที่ว่า เขาอาจจะหาโซเชียลเน็ทเวิร์คของธุรกิจของเราเจอได้ไม่ยาก แต่เขาจะหาข้อมูลที่เขาต้องการ เจอหรือเปล่า? โซเชียลเน็ทเวิร์คต่างๆ มีรูปแบบการจัดการข้อมูลจำนวนมาก ที่ต่างกันออกไป ในกรณีของเฟซบุ๊กเพจ และไอจี ข้อมูลใหม่จะอยู่บนสุดของเฟซบุ๊กเพจ ข้อมูลที่เก่ากว่าจะถูกเลื่อนลงไปข้างล่าง ไปเรื่อยๆ ผู้ชมส่วนใหญ่ อาจจะใช้วิธีการเลื่อนลงไปด้านล่างเรื่อยๆ เพื่อไล่ดูเนื้อหาต่างๆ ย้อนเวลาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพบเนื้อหาที่ต้องการ นี่ยังไม่นับกรณีที่ เฟซบุ๊กเกิดคิดวิธีการเรียงลำดับเนื้อหาแบบใหม่ๆ ที่คิดว่าดีขึ้น เช่น นำเนื้อหาบางอย่าง มาแสดงบนสุดก่อนหน้าเนื้อหาที่ใหม่ที่สุด ที่จะทำให้หลักการเรียงตามเวลา ถูกปรับเปลี่ยนไปอีก
เฟซบุ๊กเพจ เปิดโอกาสให้เราสามารถทำอัลบั้มรูปภาพได้ เพื่อใช้เป็นการจัดหมวดหมู่เนื้อหารูปภาพ แบบประยุกต์แต่ไม่ใช่สำหรับข้อความ หรือวิดีโอ ที่ใช้วิธีจัดการที่ต่างออกไป เราไม่สามารถนำ รูปภาพ ข้อความ วิดีโอ ข้ามประเภทมาอยู่ร่วมกันได้ง่าย ในขณะที่ยูทู้ปแชนแนล เปิดโอกาสให้เราสามารถจัด Playlist วิดีโอเป็นหมวดหมู่ได้ แต่ก็จำกัดจำนวนการนำเสนอเพลย์ลิสท์ไว้ที่หน้าแรกของแชนแนล แค่จำนวนหนึ่ง ในกรณีของไอจี ยิ่งมีช่องทางในการจัดหมวดหมู่เนื้อหาที่น้อยไปกว่าทั้งสองระบบข้างต้น … คนที่เข้ามาหาข้อมูล จะหาเจอมั้ยนะ?
เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเว็บไซต์ เพราะเราสามารถกำหนด จัดกลุ่มเนื้อหา ตามแบบที่เราต้องการได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะจัดข้ามประเภท จัดให้มีหมวดหมู่ย่อยๆ หลายๆ ชั้น จะนำเสนอแบบไหนก็ได้ ที่เราเชื่อว่าจะทำให้ผู้ที่เข้ามา สามารถหาข้อมูลที่ต้องการได้เร็วที่สุด รวมไปถึงการมีเครื่องมือค้นหามาช่วยอีกแรง … การหาข้อมูลรายละเอียดของเมล็ดกาแฟแบบ “เข้ม” (Bold) ในเว็บไซต์ของสตาร์บัคส์ (อเมริกา) จึงเป็นเรื่องง่าย เพียงสามสี่คลิก (กับการเลื่อนเมาส์นิดหน่อย) แต่การหาสิ่งเดียวกันในเฟซบุ๊กเพจของสตาร์บัคส์ (อเมริกา) ปัญหาคือ ไม่มีเมนูให้คลิกเพื่อพบสิ่งนี้ (หรือซ่อนไว้ตรงไหน ผมยังหาไม่พบ) การจะใช้เครื่องมือค้นหาในเฟซบุ๊กเพจ (ถ้าคุณใช้ช่องค้นหาได้ถูกช่อง) จะได้พบกับเนื้อหาที่มีข้อความ “Bold”หรือ “Bold coffee” หรือมีข้อความที่ค้นหาเป็นส่วนหนึ่งในนั้น (และในบางครั้งอาจทำให้คุณประหลาดใจกับผลลัพธ์ที่ได้) ที่อาจมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง แต่ไม่ใช่สิ่งที่ต้องการ (เช่น ในกรณีนี้ ต้องการหา ลักษณะ คุณสมบัติ ราคา ของเมล็ดกาแฟแบบเข้มที่น่าสนใจ) … เนื้อหา ที่ตอบโจทย์ไม่เท่ากัน ก็ทำให้โอกาสในการเปลี่ยนคนที่สนใจมาเป็นลูกค้าของเรา ต่างกัน
โซเชียลเน็ทเวิร์ค มีประโยชน์ มีจุดเด่นที่น่าสนใจหลายอย่าง มีความสะดวก และยังฟรี แต่ก็มีข้อจำกัดในการใช้งาน มีกฎ กติกา ที่ธุรกิจต้องยอมรับ และปฏิบัติให้สอดคล้อง … เว็บไซต์ ให้อำนาจในการควบคุม ออกแบบ นำเสนอ เนื้อหา สินค้าหรือบริการ ในแบบที่ต้องการได้มากกว่า ทำให้เกิดประโยชน์ที่เพิ่มขึ้น หรือประโยชน์ที่แตกต่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การจัดหมวดหมู่ของเนื้อหา ให้หาพบได้ง่าย อันจะเกิดประโยชน์อย่างยิ่งยวด ในการช่วยเหลือคนที่สนใจในสินค้าหรือบริการของธุรกิจ ให้กลายมาเป็นลูกค้าของเราได้
เว็บไซต์ เหมือนลูกไก่ ในกำมือ จะบีบก็ตาย จะคลายก็รอด จะทำแบบไหนก็ได้ ควบคุมได้ สั่งได้ ปรับแต่งได้ ในแบบที่ต้องการ
มาทำเว็บไซต์กันนะครับ ;)
เขียนโดย เจริญ ลักษณ์เลิศกุล
Expertise: Web Site Evangelist
อ่านบทความ Exclusive เพิ่มเติมได้ที่นี่
Copyright © MarketingOops.com