เป็นที่ทราบกันดีว่าประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ อย่าง นายโดนัลด์ จอห์น ทรัมป์ (Donald John Trump) ผู้ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นประธานาธิบดีที่มีแอคชั่นมากที่สุดคนหนึ่ง ด้วยวิธีการพูดตจาที่ตรงไปตรงมาและนโยบายแบบสุดลิ่มทิ่มประตูทำให้นายทรัมป์กลายเป็นประธานาธิบดีที่ได้รับการต่อต้านอย่างมากก่อนรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้นโยบายต่างประเทศก็เป็นสิ่งที่ทำให้นานาประเทศทั่วโลกต่างจับตาดูความเคลื่อนไหวสหรัฐฯ แบบไม่กระพริบตาเลยทีเดียว
หนึ่งในนโยบายแก้ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ คือการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ของประเทศจากการเป็นผู้ซื้อมาเป็นผู้ขาย เนื่องจากปัจจุบันสหรัฐฯ ประสบปัญหาคนว่างงานป็นจำนวนมาก การที่สหรัฐฯ เป็นผู้ขายช่วยให้เกิดการกระบวนการผลิตและเกิดการจ้างงาน ที่สำคัญยังสามารถส่งออกสินค้าเพื่อเป็นรายได้ให้กับประเทศและยังช่วยให้รัฐบาลสหรัฐฯ สามารถจัดสรรงบประมาณในการบริหารจัดการต่างๆ ได้
ด้วยเหตุนี้นายทรัมป์จึงมีการเชิญพ่อมดแห่ง e-Commerce อย่าง หม่า หยุน หรือที่เรารู้จักในชื่อ แจ็คหม่า (Jack Ma) ผู้ก่อตั้ง Alibaba ให้ไปหารือถึงการจ้างงานและการค้าขาย ซึ่งผลจากการหารือแจ็คหม่าถึงกับประกาศว่า แผนของจะสามารถจ้างงานชาวสหรัฐฯ ได้ถึง 1 ล้านคนด้วยการเชื่อมโยงธุรกิจขนาดเล็กหรือ SME ของสหรัฐฯกับผู้ซื้อในประเทศจีน
โดยแจ็คหม่าเชื่อว่า ความต้องการสินค้าจากสหรัฐของจีนจะช่วยสร้างรายได้ให้กับ SME ของสหรัฐฯ และจะมีการพัฒนาเพื่อขยายกำลังการผลิตนั่นจะทำให้เกิดการจ้างงาน ยิ่งเกิด SME ในสหรัฐฯ มากก็หมายถึงโอกาสในการจ้างงานก็จะสูงมากขึ้นด้วย ขณะที่กำลังอยู๋ในช่วงการดำเนินการ
แต่ก็ดูเหมือนจะมีนักวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์ออกมาแย้งว่า แนวความคิดของแจ็คหม่าเป็นเพียงความคิด เพราะในความเป็นจริงยังมีปัจจัยที่ไม่เอื้อเกื้อหนุนอยู่มากมาย อาทิเช่น เรื่องของภาษาที่ SME ในสหรัฐฯ อาจไม่มีความเชี่ยวชาญด้านภาษาจีน ทางฝั่งผู้ซื้อชาวจีนก็อาจไม่มีความสามารถในด้านภาษาอังกฤษที่ดีพอ ซึ่งอาจจะเกิดความเข้าใจผิดในการสั่งซื้อสินค้าและก่อให้เกิดความเสียหายทางธุรกิจขึ้นได้
นอกจากนี้ช่วงเวลา (Time Zone) ของทั้ง 2 ประเทศอยู่กันคนละซีกโลก ซึ่งเวลาช่วงเช้าของสหรัฐฯ ขณะที่ธุรกิจกำลังดำเนินการอยู่จะเป็นช่วงเวลากลางคืนของประเทศจีนที่ธุรกิจปิดการดำเนินการ นั่นหมายความว่าคำสั่งซื้อและการดำเนินการจัดส่งจะต้องมีความล่าช้า และนั่นคืออุปสรรคสำคับต่อการทำธุรกิจ ยังไม่รวมถึงการขนส่งที่มีเรื่องของเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ
แต่ความท้าทายที่สำคัญของแนวคิดแจ็คหม่าคือเรื่องของนโยบายกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ดำเนินการใส่ชื่อ Alibaba ลงในบัญชีดำหลังตรวจสอบพบสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์จำหน่ายในเว็บ ซึ่งนี่ถือเป็นอุปสรรคชิ้นโตของแนวคิดแจ็คหม่าในการผสานการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน
ขณะที่เจ้าหน้าที่ของ Alibaba มองว่าทางออกของทุกเรื่องยังมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการมองหาพันธมิตรอย่าง Taobao ที่จะเป็นส่วนช่วยให้ชาวต่างชาติเข้าถึงสินค้าจากจีนและยังช่วยในเรื่องของภาษาจีนในหลายๆ ท้องที่ นอกจากนี้ Alibaba ยังมีความร่วมมือกับ Cainiao Smart Logistics Network Ltd. ที่ให้บริการส่งสินค้าจากสหรัฐฯ ถึงประเทศจีน
ต้องตามต่อกันว่า กลยุทธ์เชื่อมการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนจะไปในทิศทางใด เพราะดูเหมือนว่านโยบายของนายทรัมป์เองก็ดูยังมีความขัดแย้งในตัวเองอยู่ไม่น้อย ยิ่งการร่วมมือกับมหาอำนาจทั้งทางการค้าและทางการเมือง ซึ่งบอกได้ว่าคนละขั้วจะออกมาในรูปแบบไหน ถ้าผลออกมาเป็นความร่วมมือที่ดีเศรษฐกิจของโลกก็อาจจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นตาม แต่ถ้าออกมาอีกด้านก็ต้องภาวนากันเลยทีเดียว
Source : ChinaDaily