500 TukTuk เป็นกองทุนที่เอาเงินจากนักลงทุนมาบริหารและลงทุนในสตาร์ทอัพที่อยู่ในไทยหรือเข้ามาขยายกิจการในเมืองไทย นำโดยคุณกระทิง เรืองโรจน์ พูนผล และคุณหมู ณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์
ในช่วงหนึ่งปีครึ่ง 500 TukTuk ได้รับเงินจากนักลงทุน 15.4 ล้านเหรียญ ก็ประมาณ 500 กว่าล้านบาท แบ่งให้สตาร์ทอัพเจ้าละ 3-5 ล้านบาท ลงทุนไปแล้วกว่า 30 บริษัท และจะลงทุนให้ถึง 100 บริษัทภายใน 2-3 ปีข้างหน้า
มาฟังผู้บริหารกองทุน 500 TukTuk เปิดใจ มองอนาคตสตาร์ทอัพไทยอย่างไร
สองผู้บริหารกองทุน 500 TukTuk – คุณกระทิง เรืองโรจน์ พูนผล (ซ้าย) และคุณหมู ณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ (ขวา)
500 TukTuk เกิดจากความเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทยล้วนๆ
คุณกระทิงเล่าให้ฟังว่า 500 TukTuK เริ่มจาก 500 Startup มีทีมงาน 110 คนใน 20 ประเทศ และลงทุนกว่า 240 ล้านเหรียญใน 1,600 บริษัททั่วโลก ก่อตั้งโดย Paypal Mafia อย่าง “เดฟ แมคเคลอร์” (Dave Mcclure) ร่วมกับศิษย์เก่าที่ Google เดฟเคยสร้าง Ecosystem ที่ Silicon Valley เคยบริหาร FB Fund และขยายกองทุน
และเดฟเชื่อว่าผู้ประกอบการเก่งๆมีทั่วโลก!
Dave Mcclure – Paypal Mafia ผู้ให้เงิน 1 ล้านเหรียญแก่ 500 TukTuk
500 startup ยังเป็นโรงเรียนบ่มเพาะผู้ประกอบการด้วย เอา know-how เอา connection เอาสิ่งที่ผู้ประกอบการไม่รู้มาบอกเรา เดฟรู้ว่าอะไรกำลังจะมา โมเดลธุรกิจแบบไหนใช้ได้ รู้ว่าภูมิภาคไหนมาแรง และในปี 2014 เดฟเชื่อว่าประเทศไทยนี่แหละที่มีศักยภาพ เป็นคนละประเทศกับไทยเมื่อปี 2013 เลย ปัจจุบันไทยมีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ในอาเซียน ตลาดไทยจึงน่าสนใจมาก
เดฟเชื่อมั่นในไทยมากกว่าคนไทยหลายๆคนด้วยซ้ำ
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของ 500 TukTuk เดฟให้เงินคุณกระทิงกับคุณหมู 1 ล้านเหรียญไปตั้งกองทุน นำเสนอกับนักลงทุน เพื่อระดมทุนอีกแค่ 9 ล้านเหรียญ และพัฒนา Startup Ecosystem ในไทยต่อไป
เป้าหมายของ 500 TukTuk: สร้าง Ecosystem สำหรับสตาร์ทอัพแบบ “ไทยๆ”
นอกจาก 500 TukTuk จะให้เงินทุนแก่สตาร์ทอัพแล้ว ยังสร้างชุมชน สอนการทำสตาร์ทอัพให้แก่ผู้ประกอบการที่ฉลาดและมีฝีมือ พร้อมลุย มีเมนทอร์คอยให้คำปรึกษา ที่สำคัญ ทำแล้วต้องสนุกไปกับมัน!
ปัจจุบัน 500 TukTuk Ecosystem มีสตาร์ทอัพ มีโรงเรียนสอนทำ startup มีเงินมีกองทุนขยายกิจการ มีสื่ออย่าง Techsauce ทำข่าวเฉพาะสตาร์ทอัพอย่างเดียว มี Coworking space อย่าง Hubba และหน่วยงานราชการสนับสนุนในระดับนโยบาย
ส่วนนักลงทุนที่สนใจให้เงินทุนสตาร์ทอัพ ก็ต้องบอกก่อนว่าไม่ใช่ใครก็ได้! เพราะ 500 TukTuk ต้องคัดนักลงทุนที่สามารถให้ “Value Added” ให้กับสตาร์ทอัพได้ โดยเฉพาะในไทยที่คนนั้นต้องมี “Connection”
500 TukTuk จึงไม่ใช่แค่กองทุนแต่เป็น “VC Backed Ecosystem” ที่เป็นเครื่องจักรพัฒนาประเทศให้เกิดการจ้างงาน ให้เหมือนอเมริกาที่มีสตาร์ทอัพกว่าร้อยละ 60-70 ในตลาดหลักทรัพย์ และมีการจ้างงานเป็นแสนๆตำแหน่ง “Digital Talent” จะเพิ่มขึ้นให้กับประเทศ ซึ่งต้องใช้เวลา หากสตาร์ทอัพหนึ่งสำเร็จ ไทยจะได้ Talent อีกร้อยๆคน ออมมาเป็นเมนทอร์ เป็นนักลงทุนสร้างสตาร์ทอัพในคลื่นลูกต่อไป
และมันจะเกิดขึ้นกับไทยในอีก 5-10 ปีข้างหน้านี้ ในปี 2012 มีการระดมทุนกว่า 70 ล้านบาท คาดว่าปีนี้จะถึงหมื่นล้านบาท
นี่คือความเร็วที่ของการลงทุนในสตาร์ทอัพในไทย อย่างไรก็ตามก็ก็ยังไม่มีผลกับเศรษฐกิจของไทย การจ้างงานใหญ่ๆและตลาดหลักทรัพย์ เพราะไทยยังไม่ค่อยมีสตาร์ทอัพระดับ Regular VC และ Unicorn มีผลต่อและ มีผลต่อ SET ใช้เวลา เพราะเวลาระดมทุนก็ต้องใช้เวลา 10 เดือน 18 เดือน กว่าจะโตแต่ละรอบก็โต 2 ปี ปีครึ่ง
Disrupt University โรงเรียนสอนทำสตาร์ทอัพ ปัจจุบันมีศิษย์เก่า 800 คนและจะเพิ่มอีกเรื่อยๆ
Techsauce ทำข่าวเฉพาะสตาร์ทอัพทั้งไทยและเทศ
Hubba – Coworking Space สำหรับผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ และคนที่หาที่ทำงานสงบๆ ได้เพื่อนเยอะ
ลงทุนในพอร์ตสตาร์ทอัพ ต้องงัดกลยุทธ์ “Lots of Litlle Best” และ “Double Down”
ปรกติหากเราลงทุนในหุ้นก็อาจจะขายคืนได้ แต่ลงในสตาร์ทอัพ ต่อให้รู้ว่ามันจะเจ๊ง ก็ได้มองแต่ตามปริบๆ ฉะนั้นการลงทุนในสตาร์ทอัพก็ยังเสี่ยง จะบริหารเงินอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ?
คุณหมูเปรียบเทียบว่าหากมีเงินอยู่ 10 บาทลงทุนใน 10 บริษัท บริษัทละบาท 5 บริษัทแรกจะไปไม่รอดภายใน 2-3 ปี อีก 2-3 บริษัทเป็นซอมบี้ คือเป็นบริษัทที่ไม่ตายแต่เลี้ยงไม่โต อาจเกิดออกมาเป็น SMEs สวยๆที่ไม่สามารถ scale up ในระดับที่คุ้มกับความเสี่ยงของนักลงทุน ฉะนั้นเงินลงทุน 5 บาทแรกเป็น 0 อีก 3 บาทก็ไม่ได้หายไปไหน แต่เราหวังว่า 2 บาทสุดท้ายอาจทำกำไรเป็น 10 บาทหรือ 100 บาท ให้คืนทุนจากที่เสียไปทั้งหมดได้
นี่คือกลยุทธ์ “Lots of Litlle Best”
ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการลงทุนช่วงแรกๆคือทำอย่างไรให้เราได้เจอเจ้าที่ 9 และ 10 ฉะนั้นถ้าเราเอาให้มั่นใจ เราลงเงินเป็น 100 บาทดีกว่าแล้วเราโชคดีเจอ 5-10 บริษัทที่ทำกำไรได้
500 TukTuk จึงใช้กลยุทธ์ “Double Down” ลงทุนกระจายไปในบริษัทเยอะๆไปเลย แล้วถ้าบริษัทนั้นยังไม่เจ๊งภายใน 10-15 เดือน ก็จะลงเพิ่มอีกเท่านึงเพื่อเป็นการ optimize พอร์ต ให้โอกาสความสำเร็จของสตาร์ทอัพนั้นมากขึ้น
คิดทำสตาร์ทอัพ จงลอกโมเดลของต่างประเทศมาทั้งหมด
อย่าได้อายที่จะทำสตาร์ทอัพที่ลอกโมเดลธุรกิจของต่างประเทศที่สำเร็จในตลาดใหญ่มาแล้ว โดยเฉพาะโมเดลที่มี Market Cap (ขนาดมูลค่าตามราคาตลาด) เกิน 1,000 ล้านเหรียญ สตาร์ทอัพที่มีขนาดเล็ก โตเร็วหรือสตารทอัพที่ดีที่สุดในอุตสาหกรรมนั้นก็น่าลอกเลียบแบบเช่นกัน เราแค่เอาโมเดลอันนั้นมาทำเป็นสตาร์ทอัพทีปรับเข้ากับตลาดบ้านเราเท่านั้นเอง
คุณหมูย้ำว่าอย่าลอกสตาร์ทอัพที่มีตลาดเล็กเล็ก ไม่เช่นนั้นพอเราเอามาทำเป็นสตาร์ทอัพในตลาดในไทย สตาร์ทอัพก็ยิ่งเล็ก
หลายคนอาจจะคิดต่าง อยากคิดไอเดียที่แตกต่างจากสตาร์ทอัพเจ้าอื่น แต่ไอเดียที่คิดมานั้นก็ไม่รู้ว่าจะประสบความสเร็จหรือเปล่า สตาร์ทอัพที่มาพร้อมกับไอเดียใหม่ๆจึงไม่น่าสนใจในสายตานักลงทุนหรอก
ทำไมน่ะหรือ? ลองคิดดูว่าเราจะเลือกลงทุนอะไรระหว่างคิดไอเดียใหม่มากๆ กับลอกไอเดียของบริษัทที่ฝ่าฟันอุปสรรคจนสำเร็จมาแล้ว เขาพิสูจน์ไอเดียมาแล้วในตลาดที่ใหญ่กว่า? เพราะถ้าคิดใหม่ ก็อาจจะเป็น 1 ใน 20 สตาร์ทอัพที่สำเร็จ หรือเป็นเจ้าที่ไม่ได้รับเงินลงทุนเลย แต่อย่างหลังน่าสนใจว่าและนักลงทุนมั่นใจมากกว่าว่าหากลงทุนในสตาร์ทอัพที่ลอกเลียนจากสตาร์ทอัพที่สำเร็จมาแล้ว ย่อมทำรายได้และผลตอบแทนในที่สุด
ส่วน 500 TukTuk หากเจอสตาร์ทอัพที่ว่า ก็ลอกเลียนแบบมาแล้วส่งทีมที่มีความสามารถที่สุดเข้าไปทำโมเดลนั้นในไทยให้ประสบความสำเร็จ อย่างเช่น Grab taxi ปรับจาก uber เหมาะกับอาเซียน Skootar สตาร์ทอัพของไทยก็ลอกเลียนแบบจาก Go-Jek สตาร์ทอัพเรียกมอเตอร์ไซด์ระดับยูนิคอร์นจากอินโดนิเซียที่ระดมทุนได้เป็นหมื่นๆล้านบาท
แต่มันก็ไม่เสมอไปหรอก หากไอเดียธุรกิจของเราไปตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของพื้นที่นั้นจริงๆ เช่นบริการชำระเงินแบบ Cash on Delivery ของไทยที่ไม่ใช่ทุกคนที่มีเครดิตการ์ด แบบนี้ต้องมีสตาร์ทอัพที่มีไอเดียสำหรับไทยจริงๆ
จาก Copied in China สู่ Created in China: การลอกเลียนแบบเป็นหนทางสู่นวัตกรรม
พูดถึงการลอกเลียนแบบ คงอดพูดถึง “จีน” ไม่ได้ เพราะเราเห็นของลอกเลียนแบบจากประเทศนี้เยอะเหลือเกิน
แต่! นั่นแหละที่ทำให้สตาร์ทอัพจีนประสบความสำเร็จ
สตาร์ทอัพที่ใหญ่ที่สุดในคลื่นลูกแรกอย่าง Alibaba ที่มีแนวคิดลอกเลียนแบบมาจาก Amazon,Tensen ที่เป็นโคลนจากบริษัทเกมแห่งหนึ่ง, การให้ปล่อยกู้ซึ่งกันและกันโดยตรงโดยไม่ผ่านแบงค์ อย่าง Peer-to-peer lending และมีอีก 8,000 สตาร์ทอัพเกิดขึ้นมาทันทีในจีน มีนักลงทุนหนุนหลังสตาร์ทอัพพวกนี้ด้วย
ทำให้รู้ว่า เราต้องลอกเลียนแบบเพื่อเรียนรู้ และจากนั้นจึงค่อยคิดนวัตกรรมเป็นก้าวต่อไป Baitu ที่เป็นโคลนจาก Google มี Andrew Ng ที่คอยคิดเรื่อง Deepmind คิดเรื่อง Interactive Computimg ที่ทำให้เรามีปฎิสัมพันพูดคุยโต้ตอบกับคอมพิวเตอร์ได้รู้เรื่อง DJI ที่กลายเป็นบริษัทโดรนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก็อยู่ในจีน
ฉะนั้นต่อไปหากเราจะดูนวัตกรรม เราต้องมองจีนใหม่แล้ว
Baitu บริษัทเสิร์ชเอนจิ้นของจีน ที่เป็นโคลนจาก Google
สถานการณ์ของสตาร์ทอัพไทยอยู่ในระดับ Regular VC เท่านั้น
เริ่มจาก AngelInvestor/Incubator เป็นนักลงทุนส่วนตัว มีสตาร์ทอัพหน้าใหม่มานำเสนอไอเดีย
ส่วน 500 TukTuk จะอยู่ในลำดับถัดมาคือ Micro VC ที่ลงทุนในสตาร์ทอัพระดับ Seed Stage อยู่ที่ 1 แสน 5 หมื่นเหรียญ ถึง 2 แสนเหรียญ (3-6 ล้านบาท) ให้สตาร์ทอัพระดับนี้เอาเงินไปใช้ภายใน 10-12 เดือน หากเริ่มเติบโตมีรายได้ ก็มีนักลงทุนมารับต่อ ซึ่งเงินที่ 500 TukTuk ระดมทุนได้ บางครั้งต้องบินไปหานักลงทุนเพื่อระดมทุนเช่นกัน
500 TukTuk ได้ลงทุนไป 30 บริษัทในปีครึ่ง และมี เป้าหมายลงทุนให้ได้ถึง 100 บริษัทในอีก 18 เดือนข้างหน้า ซึ่งสตาร์ทอัพส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วง Seed Stage ส่วนบริษัทที่อยู่ในระดับ Series A และ B ในไทยประมาณ 10-20 บริษัท เช่น InVent และอีก 2-3 เจ้าที่เป็นบริษัท Local
และการลงทุนระดับถัดมาคือ “Regular VC” เป็นเงิน 1-10 ล้านเหรียญ ใช้เงิน 100-200 ล้านบาท ซึ่งในไทยเริ่มมี เช่น InVent ในเครือของ Intouch มีทุนประกอบกิจการเอาเงินมาใช้ไม่เกิน 10-18 เดือน หากยังดำเนินกิจการได้ต่อไป ก็สามารถระดมทุนได้อีก ตอนนั้นมูลค่าบริษัทอาจเพิ่มขึ้นได้อีก 5-10 เท่า และสามารถทำให้เป็นธุรกิจขนาดใหญ่ขึ้นได้
นี่คือ VC Backed Startup เหมือนอย่าง Facebook ซึ่งสตาร์ทอัพพวกนี้จะเติบโตไม่เหมือน SMEs ที่เป็น Non-VC Backed Startup จึงจำเป็นต้องเอาเงินทุนเข้ามาทำให้กิจการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
“และไทยไปต่อได้ต้องมีทั้ง VC Backed Startup และ Non-VC Backed Startup คือ sme ต้องมีทั้งคู่” คุณกระทิง ผู้ร่วมจัดการกองทุนอธิบาย
“คนไทยก็ทำได้แค่นี้แหละ”
อย่างที่เรารู้กันว่าบริษัทระดับยูนิคอร์นจะมีมูลค่า 1 พันล้านเหรียญขึ้นไป และบริษัทระดับเซนทอร์ทจะมีมูลค่า 100 ล้านเหรียญขึ้นไป
แต่ไทยเป็นหนึ่งในอาเซียนที่ยังไม่มีบริษัทระดับยูนิคอร์นเลย ในขณะที่มาเลเซีย อินโดนิเซีย สิงคโปร์ แม้แต่เวียดนามมีบริษัทที่ว่านี้แล้ว คุณกระทิงไม่เชื่อว่าไทยไม่มีศักยภาพ ไทยแค่เริ่มหลังคนอื่น เพิ่งมี Ecosstem เกิดปี 2012 แต่โตเร็ว 100 เท่า
“สตาร์ทอัพ งานควาย รายได้ไม่ดี ต้องให้กำลังใจ ไทยมีแรงโน้มถ่วงเยอะ เวลาทำอะไรแปลกๆแตกต่างจากคนอื่นเยอะ “คนไทยแม่งก็ไปได้แค่นี้แหละ” ไทยไม่ได้แพ้ชาติไหน แต่ทำไมเราต้องใช้ของต่างประเทศ? ทำไมไม่สร้างให้คนไทยใช่เอง?” คุณกระทิงถาม
ฟังแบบนี้สตาร์ทอัพระดับ “ยูนิคอร์น” ต้องเกิดขึ้นในไทยแน่นอน
อย่าเอากฎหมายที่เขียนมา 30-40 ปีที่แล้วมาขีดเส้นขวางนวัฒกรรมใหม่ๆ
คุณหมู ผู้ร่วมจัดการกองทุนอธิบายว่าคนต้องสร้างรถยนต์มาก่อนที่จะมีกฎหมายจราจร แล้วรถก็ขับชนกัน จึงมีกฎหมายจราจร ไม่ใช่เอากฎหมายขึ้นมาก่อนที่จะมีสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ไม่งั้นเจ้าสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆมันเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าเอากฎหมายย้อนหลังมาจำกัดการเกิดรถ รถก็ไม่มีทางเกิดขึ้น
“การเอารถของคนอื่นมาบริการแข่งกับแทกซี่ ผิดกฎหมายหรือเปล่า? เอาบ้านแบ่งกันเช่าผิดกฎหมายหรือเปล่า? เรื่องกฎหมายกับบริการของสตาร์ทอัพต้องพูดให้เข้าใจ” คุณหมูกล่าว
จึงไม่ควรเอากฎหมายที่เขียนมา 30-40 ปีที่แล้วมาขีดเส้นขวางนวัฒกรรมใหม่ๆ
ไทยมี Unfair Advantage ในการทำสตาร์ทอัพเยอะมาก
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวคิดเป็นร้อยละ 13 ของ GDP ของไทย มีภาคการศึกษาที่เป็นตลาดใหญ่ ตอนนี้ไทยมีแค่ Skilllane ที่เป็นสตาร์ทอัพด้านการศึกษา โอกาสของสตาร์ทอัพในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การศึกษา การเงิน อสังหาริมทรัพย์และสถาปัตย์ยังมีให้เล่นอีกเยอะ ขอให้เราสร้างสินค้าที่ Disrupt ขึ้นได้จริง
“ต้องคิดแง่ดีถึงที่สุดและเชื่อมั่น!
ว่าไปได้ จะ Convince คนอื่นและนักทุน ก็ต้อง Convince ตัเองให้ได้ ไอเดียที่แปลกแหวกแนว ก็ต้องเป็น Founder ที่ต้องเชื่อก่อน ไอเดียที่ให้เช่ารถ เช่นที่พักโดยไม่ต้องมีรถ มีที่พัก เชื่อมากพอก็มีนักลงทุน และค่อยๆ ขยายไป และอย่าลืมสร้างความเชื่อให้กับเพื่อนร่วมทีมของคุณด้วย” คุณกระทิง ผู้ร่วมจัดการกองทุนทิ้งท้าย
แหล่งที่มา
งาน Google Thailand’s Startup Bootcamp 2017ณ ตึก Sathorn Square วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม 2560
งาน Startup Day Seminar Powered by Epson X 500 TukTuks ณ โรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศ วันศุกร์ที่ 13 มกราคม 2560