httpv://youtu.be/tnBQmEqBCY0
(Cover photo : University of Washington Office of News and Information/Creative Commons Image/Flickr)
สตีเฟ่น ฮอวค์คิ่ง เคยคาดการณ์ไว้ว่าวันหนึ่งในอนาคต ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI จะเข้ามามีบทบาทกับคนทั้งโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมันคือสิ่งประดิษฐ์ที่สุดยอดที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ แต่เมื่อถึงยุคนึงมนุษยชาติอาจจะถึงจุดจบ เหตุผลเพราะ เมื่อ AI เหล่านี้ถูกพัฒนาไปจนถึงขีดสุด มันจะไม่ต้องพึ่งพามนุษย์อีกต่อไป มันจะปรับเปลี่ยนและพัฒนาตัวเองให้ฉลาดขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะระบบมันถูกออกแบบมาให้เรียนรู้สิ่งต่างๆได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่มนุษย์นั้นมีวิวัฒนาการไปอย่างช้าๆ และพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้นในทุกขณะ ซึ่งพูดกันตามตรง ฮอวค์คิ่ง นั้นคลุคลีกับ AI ตลอดเวลา ด้วยร่างกายที่เป็นอัมพาตทำให้เขาต้องใช้ AI ช่วยในการสื่อสาร หรือแม้แต่ ‘บิล เกตส์’ เองก็ยังออกมาแสดงความกังวลถึงอนาคตของ AI (ดูคลิป ฮอว์คคิ่ง ให้สัมภาษณ์กับ BBC และคลิป บิล เกตส์ ได้ที่ท้ายบทความ)
แต่ก็ยังมีหลายความเห็นที่เชื่อว่า เมื่อถึงเมื่อถึงจุดหนึ่งมนุษย์จะหาหนทางในการป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นจากการใช้ AI ขึ้นมาเอง มันเหมือนการเล่นเกมกับตัวเอง พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อมาดักเทคโนโลยีที่ตัวเองพัฒนาขึ้นมา อันที่จริงมนุษย์เราทุกวันนี้ก็พึ่งพา AI กันมาได้พักใหญ่แล้ว เรานำ AI เข้ามาอยู่ในอุตสาหกรรมการผลิต การบริการ ความบันเทิง อำนวยความสะดวกในบ้าน ในชีวิต
สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่า AI คืออะไร…อธิบายสั้นๆว่ามันคือการสร้างความฉลาดให้กับสิ่งไม่มีชีวิต เหมือนสร้างหุ่นยนต์โดยใช้วิทยาการด้านคอมพิวเตอร์และวิศวกรรมเป็นหลัก นึกถึงหนังหุ่นยนต์ฉลาดๆอย่าง ในเรื่อง i-Robot, จาร์วิสจาก Iron Man หรือแม้แต่ ‘ซาแมนธา’ จากเรื่อง Her ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นหุ่นแบบมีบอดี้เหมือนคน AI จะอยู่ในรูปของอะไรก็ได้ ของใช้ ยานพาหนะ อุปกรณ์อิเลคทรอนิคต่างๆที่ทำงานด้วยระบบคอมพิวเตอร์ แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายไปกว่านั้น คือสิ่งที่เรากำลังจะเล่าสู่กันฟังในพารากราฟถัดไป
ตอนนี้ AI ฉลาดไปถึงไหนแล้ว?
ปัจจุบัน AI พัฒนาไปถึงกระบวนการ Deep Learning คือการจำลองเครือข่ายระบบประสาทแบบเดียวกับสมองของคน เพื่อให้ AI สามารถเรียนรู้และเข้าใจสิ่งต่างๆได้ด้วยตัวเอง ประมวลผลข้อมูลได้ทีละมากๆ ว่าง่ายๆคือมันทำงานเหมือนสมองคน เอาใกล้ๆตัวคุณเลยก็อย่างระบบจดจำใบหน้าบน Facebook เช่นเมื่อเราโพสรูปคนลงไป ระบบจะเด้งขึ้นมาทันทีว่าคุณจะแท็กเพื่อนคนนี้ๆใช่ไหม? ซึ่งนี้คือสิ่งที่หลายคนกังวล…แล้วทำไมยังพัฒนาต่อล่ะ?
แม้ AI จะพัฒนามาไกลขนาดนี้แล้ว ก็ยังคงต้องพึ่งกาการสั่งการจากมนุษย์ เพราะมันไร้ความรู้สึก ไร้การตัดสินใจ และไม่มีความต้องการ นี่คือข้อจำกัดใหญ่ของ AI ที่ยังสามารถป้องกันอันตราที่อาจเกิดขึ้นได้อยู่ แต่ลองคิดเล่นๆว่า ถ้า AI มันสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ และเรียนรู้กันผ่านการแลกเปลี่ยนนี้ นั่นเท่ากับว่ามันกำลังสื่อสารกัน อาจจะนำไปสู่กลุ่มสังคมปัญญาประดิษฐ์ใหญ่ยักษ์ ที่ไม่ได้มีมนุษย์เกี่ยวข้องอยู่เลยก็เป็นได้ แต่ก็เป็นเพียงการคาดเดา ตอนนี้ AI ก็ยังคงต้องการสั่งงานจากมนุษย์อยู่
“AI-human symbiote (เอไอ ฮิวแมน ซิมไบโอต) ทำความรู้จักกับคำนี้ให้ดีค่ะ เพราะมันคือประเด็นหลักที่เราสนใจ จากบทสัมภาษณ์ของ Elon Musk โดย Y Combinator”
ในช่วงปีที่ผ่านมาชื่อของ Elon Musk เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางหลังจากเขาออกมากล่าวถึง ‘อันตรายจาก AI หรือ Artificial Intelligence (ปัญญาประดิษฐ์)’ ในงาน Code Conference 2016 (เลื่อนลงไปดูคลิปสัมภาษณ์ได้ที่ท้ายบทความ) พูดคล้ายๆกับ ฮอวค์คิ่ง เลย ว่าวันหนึ่งในอนาคตมนุษย์จะตกเป็นทาส AI เพราะมันจะพัฒนาตัวเองจนไม่ต้องพึ่งพามนุษย์อีกต่อไป แน่นอนว่ามนุษย์จะไม่สามารถควบคุมอะไรได้ เพราะ AI จะเรียนรู้วิธีการป้องกันระบบต่างๆด้วยตัวมันเอง ซึ่ง Musk เสนอวิธีการป้องกันปัญหาจาก AI ออกมาได้อย่างสุดโต่ง เขาเสนอให้ มนุษย์รวมเป็นหนึ่งเดียวกับ AI หรือ พัฒนาให้มนุษย์เป็น AI-human symbiote และหากเป็นเช่นนั้นแล้ว AI จะไม่สามารถมีสถานะท่ีเหนือมนุษย์ได้
AI-human symbiote หรือ มนุษย์ AI คืออะไร?
อธิบายอย่างง่ายคือ มนุษย์ที่เชื่อมต่อระบบกับ AI ผ่านการถ่ายโอนข้อมูลจาก AI เข้าสู่สมองมนุษย์ คือมีมนุษย์เป็น host และเชื่อม AI เข้ามาผ่านทางเครือข่ายประสาทในสมอง หากคุณเคยดูเรื่อง ‘เดอะ แมททริกซ์’ หรือ ‘ทรานเซนเดนท์’ อาจจะพอนึกภาพออก แต่ที่ Musk หมายถึงนั้นคือ มนุษย์จะสามารถถ่ายโอนข้อมูลส่วนตัวต่างๆบนแพลตฟอร์มดิจิทัลมาอยู่ในการควบคุมของร่างกายได้ ฟังดูเหลือเชื่อมาก
“ผมคิดว่าเราสามารถเชื่อมต่อกับ AI ได้ โดยพัฒนาระบบเพื่อเชื่อมโยงมันกับโครงข่ายประสาทในสมองคุณ นั่นจะทำให้คุณกลายเป็น AI-human symbiote โดยสมบูรณ์” Elon Musk กล่าว (ฟังๆดูแล้วก็แอบน่ากลัวนะ)
แล้วมันทำได้จริงๆหรอ?
ขีดจำกัดในการพัฒนา AI-human symbiote นั้นยังมีอยู่ ด้วยยังติดอยู่ที่เรื่อง input-output ข้อมูล เพราะสมองมนุษย์ต้องมี ‘อินเทอร์เฟซ’ ส่งผ่านข้อมูลประสิทธิภาพสูงมากทีเดียว จึงจะเชื่อมต่อกับ AI ได้ (high-bandwidth interface) แต่ตอนนี้สมองเรายังส่งผ่านข้อมูลได้จำกัดอยู่ (bandwidth-limited) ซึ่งถ้าหากเราสามารถพัฒนา interface รับส่งข้อมูลระหว่าง AI กับสมองมนุษย์ให้มีประสิทธิภาพได้จริง Superhuman จะเกิดขึ้น นั่นคือมนุษย์ที่เป็นลูกผสมกับปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI-human symbiote
แต่ก็ความมนุษย์อีกนั่นแหละ ตอนนี้มีการพัฒนา “Neural Lace” ขึ้นมาแล้วที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มันคือเทคโนโลยีที่จะเข้ามาทำลายข้อจำกัดในการสร้าง ‘AI-human symbiote’ แต่ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยและพัฒนา ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ inverse.com
แล้ว Elon Musk จะอยากให้มนุษย์เป็น AI-human symbiote ไปทำไมกัน?
Elon Musk อยู่กับการสร้างความเป็นไปไม่ได้ให้เกิดขึ้นจริงมาโดยตลอด เข้าเริ่มก่อตั้ง Paypal เว็บไซต์บริการโอนเงินที่เปิดใช้บริการทั่วโลก ตั้งแต่อายุยี่สิบต้นๆ เป็นผู้ริเริ่มผลิตรถยนต์ที่มีระบบ Autopilot หรือกึ่งๆรถยนต์ไร้คนขับของ Tesla และคุณจำโปรเจคพาคนไปดาวอังคารได้ไหม Musk นี่แหละค่ะเป็นคนริเริ่มโครงการนี้กับ SpaceX บริษัทที่เขาก่อตั้งขึ้นมาเพื่อสร้างยานอวกาศไปดาวอังคาร (SpaceX เป็นบริษัทสร้างยานอวกาศเอกชนบริษัทแรกของโลก)
Musk มีความเห็นว่าวันหนึ่งมนุษย์จะไม่สามารถพัฒนาตัวเองตาม AI ได้ทัน ด้วยตอนนี้ที่ AI พัฒนามาสู่ขั้น Deep Learning แล้ว มันคือการจำลองสมองมนุษย์มาอยู่ในหุ่นยนต์ ซึ่งสามารถคิดในสิ่งที่ซับซ้อน เรียนรู้ด้วยตัวเอง พัฒนาได้อย่างไร้ขีดจำกัด ซึ่งแม้ตอนนี้ยังอยู่ในการควบคุมของมนุษย์ แต่เราไม่อาจรู้ได้ว่าในอนาคต AI จะถูกนำไปใช้ในทางไหนบ้าง หรือมันจะพัฒนาตัวเองไปได้ถึงขั้นไหน เขาจึงเสนอวิธีแก้ปัญหาสุดโต่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ คือทำให้มนุษย์มีความเป็นกึ่งๆ AI หรือ AI-human symbiote ไม่ใช่แค่เสนอ ตอนนี้เขากำลังพัฒนาและวิจัยความเป็นไปไม่ได้นี้อยู่ ซึ่งเขาเชื่อว่ามันจะเป็นไปได้ เขาคิดว่าหาก มนุษย์มีความสามารถได้เสมอเหมือน AI มนุษย์จะใช้ประโยชน์จาก AI ได้เต็มที่ และสามารถคุม AI ได้อยู่หมัด
เราไม่ได้จะพยายามชี้นำให้ผู้อ่านเชื่อว่าการพัฒนา AI นั้นดีหรือไม่ดี ซึ่งมันก็คงมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีของ AI เอาที่เห็นได้ชัดคือ มันสร้างการเติบโตให้ในหลายอุตสาหกรรม ด้วยการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ข้อผิดพลาดต่ำ อำนวยความสะดวกให้ชีวิตประจำวันของมนุษย์ แต่ก็อย่างที่เคยทราบข่าวกันว่าหลายสาขาอาชีพเริ่มใช้ระบบ AI เข้ามาทำงานแทนคน และอนาคตของมนุษย์และ AI นั้นจะเป็นอย่างไร ก็คงต้องติดตามกันต่อไป
httpv://youtu.be/tV8EOQNYC-8
httpv://youtu.be/fFLVyWBDTfo
httpv://youtu.be/EmfrMKLwr3k
Reference: Observer.com
Reference: The verge
Reference: Inverse.com
Reference: Natureworldnews.com
Source: Copyright © MarketingOops.com