เมื่อวานนี้ผมได้อ่านเจอบทความของต่างประเทศที่พูดถึง CEO Twitter ปัจจุบันอย่าง Jack Dorsey ที่ว่าขาดความรู้สึกเร่งรีบ หรือความด่วนในการทำงานที่จะทำให้บริษัทนั้นอยู่รอดต่อไปได้และเป็นกังวลต่อนักลงทุนหรือคนที่เป็นแฟน Twitter ทั้งนี้ความเร่งรีบนี้หรือความรู้สึกว่าต้องทำด่วนนี้ในภาษาอังกฤษเรื่องนี้เรียกว่า Sense of urgency ซึ่งนับว่าเป็นสกิลแบบหนึ่งที่คนทำธุรกิจ การตลาดหรือแม้กระทั่งคนทำงานด้านโฆษณาเองก็ต้องมีอย่างมาก วันนี้เราจะมารู้จักเรื่อง Sense of urgency และวิธีสร้าง Sense of urgency มันขึ้นมากัน
Sense of urgency คืออะไร จริง ๆ แล้ว Sense of urgency นั้นคือทักษะหรือการสามารถรับรู้ได้ว่าจะต้องทำอะไรเพื่อให้อยู่รอดหรือเอาชนะคู่แจ่งหรือการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ได้ ในภาวะที่สิ่งแวลดล้อมหรือตลาดนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งหากคนที่ไม่มี Sense of urgency หรือไม่สามารถรับรู้ว่าจะต้องอะไรที่ด่วนได้แล้ว อาจจะสามารถหลุดกระแสหรือถูกทอดทิ้งจากการทำการตลาดไปได้ ซึ่งยิ่งในยุคที่ผู้บริโภคนั้นไม่สามารถมีความอดทนในการรอ หรือต้องการอะไรที่สามารถตอบสนองได้เร็วที่สุด การมัวรอแต่คิดหรือมัวรอแต่จังหวะอาจจะไม่ได้ผล และทำให้ผู้บริโภคนั้นเลือกที่จะไปหาเจ้าที่สามารถตอบสนองได้เร็วกว่า ซึ่งนี้เองที่ทำให้ Sense of urgency นั้นมีความสำคัญอย่างมาก เพราะการแข่งขันนั้นอยู่รอบตัวเราทั้งหมด ในกลุ่มของเอเจนซี่เองในยุคนี้ Sense of urgency ยิ่งมีความจำเป็นอย่างมาก เพราะไม่ใช่ยุคของปลาใหญ่กินปลาเล็ก แต่เป็นปลาที่เร็วกว่า กินปลาที่ช้ากว่า การมี Sense of urgency ในหมู่เอเจนซี่นั้นคือการรับรู้ได้ว่าลูกค้าตัวเองมีความเร่งรีบอะไรหรือเริ่มรู้สึกว่าการทำงานของเอเจนซี่นั้นมีปัญหากับลูกค้า(ลูกค้าเริ่มรู้สึกไม่พอใจอะไรบางอย่างแล้ว) แล้วจะแก้ไขเรื่องนั้นได้อย่างไร ทั้งนี้ Sense of urgency ไม่ได้เกิดขึ้นในทุกคน ยิ่งคนที่ทำตัวเป็นฟันเฟืองในองค์กร ไม่ได้เห็นสภาพแวดล้อมภายนอก หรือทำงานใกล้ชิดกับลูกค้าแบบต่าง ๆ ยิ่งรับรู้ได้ยากว่าทำไมต้องเร่งรีบหรือทำไมต้องเร่งทำ คนที่เกิด Sense of urgency นั้นคือกลุ่มคนที่ทำงานในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย เจอสิ่งที่หลากหลายและรับรู้การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากรอบตัวได้อย่างดี แต่ไม่ใช่ว่า Sense of urgency นั้นจะฝึกไม่ได้หรือสร้างขึ้นไม่ได้ และการมี Sense of urgency นั้นยังสามารถทำให้งานนั้นทำได้อย่างดีขึ้นและส่งมอบตรงเวลามากขึ้นไปอีกด้ว
httpv://www.youtube.com/watch?v=zD8xKv2ur_s
John Kotter ได้เขียนหนังสือชื่อ “A Sense of Urgency” ซึ่งในหนังสือนั้นได้อธิบายวิธีการสร้าง Sense of urgency ได้เป็นอย่างดี โดยแบ่งเป็น 4 Tactics ดังนี้
- มองจากภายนอกเข้าไปสู่ภายใน : หยุดพฤติกรรมที่บอกว่ารู้ทุกอย่างหรือคิดว่ารู้แล้วทั้งหมด และหันไปมองดูข้อมูลต่าง ๆ จากเรื่องรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นการรายงานข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้มา สังคมคนนอกองค์กร วิดีโอที่เห็นจากที่ต่าง ๆ เว็บไซต์ และข้อความต่าง ๆ ที่มาจากภายในองค์กรหรือสิ่งที่ทำอยู่ สิ่งสำคัญคือเข้าใจและติดตามว่าคู่แข่งนั้นกำลังทำอะไรทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเป็นแรงขับให้รู้สึกว่าต้องทำการแข่งขันอยู่เสมอ หรือทำให้เป็นเรื่องท้าทายในการทำงานที่จะต้องแข่งขันขึ้นมาเพื่อทำให้ดีกว่าคู่แข่งให้ได้
- ทำตัวให้มีความเร่งด่วนในทุกวัน : หยุดการทำงานไปวัน ๆ และเริ่มแสดงบทบาทความต้องการหรือแสดงออกถึงความสำคัญว่าทำไมต้องทำอะไรให้มีความเร่งด่วน ทำไปเพื่ออะไร ไม่ว่าจะเป็นในการประชุม การปฏิสัมพันธ์ ในบันทึกข้อความหรือในอีเมล์ต่าง ๆ ทำให้ทุกคนเริ่มรู้สึกว่าต้องทำเพราะมีความจำเป็นที่ต้องเร่งด่วน และการไม่ทำนั้นจะมีความเสียหายต่อองค์กรเกิดขึ้น
- หาโอกาสในวิกฤต : หลาย ๆ คนมักมองวิกฤตเป็นปัญหา และจมกับการซึมเศร้า วิตกกังวลในวิกฤต แต่หาเรามองจากมุมต่าง ๆ อาจจะเห็นมุมมองอื่นได้ การเห็นวิกฤตเป็นโอกาสนั้นจะสร้างพลังที่จะทลายกำแพงความสามารถที่ตันอยู่ได้ ให้มีความสามารถใหม่ขึ้นมา และยิ่งคุณสามารถแก้ปัญหาหรือสร้างโอกาสในวิกฤตมากเท่าไหร่ คุณจะยิ่งได้รับโอกาสมากมายในชีวิตเพิ่มเติมอีกด้วย ซึ่งการเห็นวิกฤตนี้คุณต้องมีความสามารถในการติดตามข้อมูลว่าวิกฤตนั้นเกิดขึ้นตรงไหน และจะแก้ไขหรือสร้างโอกาสจากวิกฤตนั้นได้อย่างไรบ้าง
- หยุดหรือหาทางปฏิสัมพันธ์กับคนที่ไม่เห็นความสำคัญ : พยายามรู้ว่าคนประเภทไหนที่ไม่พยายามเปลี่ยนแปลงหรือไม่รับรู้ถึงความเร่งด่วนนั้น พยายามหาทางจัดการหรือสร้างให้เค้าได้เห็นความสำคัญโดยการพาไปเจอสภาพแวดล้อมภายนอก ความสำคัญหรือความเร่งร้อนของลูกค้า ทั้งนี้หากเป็นที่ตัวเอง ลองเอาตัวเองนั้นไปเจอกับสภาพแวดล้อมภายนอกได้คุยกับคนที่มีความเร่งรีบที่มีความต้องการ หรือการเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ของทีมต่าง ๆ มากขึ้นก็ช่วยได้
จากที่กล่าวมานั้นคือการสร้าง Sense of urgency ขึ้นมาอย่างง่าย ๆ ทั้งนี้ยังมีวิธีการต่าง ๆ อีกมากมายที่สามารถพัฒนาตัวเองให้มี Sense of urgency ขึ้นมาได้ หรือถ้าองค์กรไหนที่อยากให้พนักงานรู้สึกถึง Sense of urgency นั้น การสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้มีความตื่นตัวต่อเรื่องนี้ก็มีความสำคัญ ซึ่งใน Startup หรือ Tech Company ในยุคนี้ต่างเร่งสร้างวัฒนธรรม Sense of urgency กันทุกคนเพื่อให้อยู่รอดได้ในอนาคต