ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกเช่นนี้ ส่งผลให้บรรดาธุรกิจต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่ยักษ์โน้ตบุ๊กต่างวางเป้าหมายการเติบโตในปีหน้ากันอย่างระมัดระวัง เฉลี่ยอยู่ที่ 5-10% หรืออย่างน้อยที่สุดก็พยายามจะรักษาการเติบโตเท่ากับปีนี้ แต่สำหรับแบรนด์โน้ตบุ๊กเบ็นคิวจากไต้หวัน กลับมองต่างโดยตั้งเป้าการเติบโตโน้ตบุ๊กไว้เป็นเท่าตัว หรือจากที่เคยรั้งส่วนแบ่งตลาดโน้ตบุ๊กในอันดับ 7 สู่เป้าหมายท็อป 5 ด้วยส่วนแบ่งตลาด 5%
เกี่ยวกับเรื่องนี้ “พัทธกร พรศิริธิเวช” หนึ่งในผู้กุมทัพโน้ตบุ๊กเบนคิวได้ให้สัมภาษณ์กับ Business Thai ถึงความมั่นอกมั่นใจ และกลยุทธ์ขับเคลื่อนที่จะทำให้เบ็นคิวไปถึงเป้าหมายในครั้งนี้
วันนี้ส่วนแบ่งตลาดโน้ตบุ๊กของเบนคิวอยู่ที่เท่าไหร่
เรามีส่วนแบ่งการตลาด 4% คิดเป็นจำนวน 20,000 เครื่อง อยู่ในอันดับ 7 สาเหตุที่เบ็นคิวมีส่วนแบ่งตลาดน้อยเพราะว่าอันดับ 1 และ 2 ของโน้ตบุ๊กกินส่วนแบ่งไปกว่า 70% แล้ว อีกอย่างเบนคิวเพิ่งเข้ามาในตลาดได้เพียง 5 ปี บางตลาดอย่างในต่างจังหวัดเรายังไม่ได้ลงไป ด้วยทรัพยากรบางอย่างที่มีจำกัด ขณะที่แบรนด์ใหญ่อาจจะครอบคลุมทุกตลาด รวมถึงอาจจะยังไม่ได้ปูพรมสื่อสารด้วยแมสมีเดีย ที่ผ่านมาจะรุกในกลุ่มเฉพาะเท่านั้น แต่หลังจากนี้ไปพยายามจะขยายฐานและรุกตลาดให้มากขึ้น เพราะปีหน้าเราตั้งเป้าจะขึ้นเป็น Top 5 โดยมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 5%
อะไรถึงทำให้มั่นใจ วางเป้าหมายสูงขนาดนั้น
คือ เราได้รับยอดจากบริษัทแม่มาสูง เนื่องจากโน้ตบุ๊กเป็นกลุ่มธุรกิจที่สำคัญของเบนคิว ประเทศไทย โดยคิดเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 45% ของรายได้รวมเบ็นคิว โดยปีหน้าคิดว่าสัดส่วนน่าจะเกิน 50% เพราะเบ็นคิว ประเทศไทย เป็นอันดับหนึ่งในประเทศเศรษฐกิจในเอเชีย แปซิฟิก ดังนั้นเบ็นคิว จึงเป็น Strategic Country ที่บริษัทแม่ต้องการให้เติบโต ซึ่งถ้าดูจากตลาดโน้ตบุ๊กรวมที่ยังมีการเติบโต บวกกับโมเดลโน้ตบุ๊กที่เราจะเข้ามาทำตลาด คิดว่ามีโอกาสที่จะทำได้ แต่ก็ต้องทำการบ้านค่อนข้างมากเช่นกัน
โปรดักต์ที่จะโชว์เป็นจุดขายในการบุกตลาดครั้งนี้มีอะไรบ้าง
ปีหน้าโปรดักต์จะมีความหลากหลายมากขึ้น โดยสัดส่วนของเซ็กเมนต์ราคาต่ำกว่า 25,000 บาทจะมีหลายโมเดลมาทำตลาด เช่น มีแผนจะนำเน็ตบุ๊กเข้ามาทำตลาดเดือนพฤศจิกายน มีขนาดหน้าจอ 10 นิ้ว และ 11 นิ้ว โดยมีฮาร์ดดิสก์บิวท์อินด์มาด้วย ราคาประมาณ 10,000-16,000 บาท ซึ่งมองว่าเป็นอีกตลาดที่เข้ามาช่วยเพิ่มยอดให้มากขึ้น เนื่องจากโน้ตบุ๊กเซ็กเม้นต์ราคาต่ำกว่า 20,000 เป็นตลาดค่อนข้างใหญ่ มีผู้ใช้ต้องการโน้ตบุ๊กระดับราคานี้จำนวนมาก แต่ในขณะเดียวกันก็จะมีไฮไลต์ของโน้ตบุ๊กตัวบนออกมาทำตลาดควบคู่ด้วย
การนำเน็ตบุ๊กเข้ามาทำตลาด ถือว่าช้าไปไหม
ยอมรับว่าเราเข้ามาช้า อาจจะเป็นเรื่องของการพัฒนาโปรดักต์ เพราะอยากให้โปรดักต์ออกมามีฟีเจอร์ฟังก์ชันดีกว่าแบรนด์อื่น โดยมีการใช้ตัวไอคอนแสดงอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ หรือ Emoticon เป็นคอนเซ็ปท์ดีไซน์บนฝาเครื่อง เพราะมองว่าน่าจะตอบโจทย์กลุ่มผู้เล่นอินเทอร์เน็ต อายุประมาณ 10-25 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของเน็ตบุ๊ก
แผนการตลาดของเบนคิวเพื่อไปสู่เป้าหมาย Top 5 จะต้องทำอะไรบ้าง
นอกจากสินค้าหลากหลายแล้วนะครับ ในส่วนแชลแนลก็จะต้องขยายเพิ่ม เช่น ตลาดต่างจังหวัด กลุ่มคอมเมอร์เชียล และนักศึกษา โดยเฉพาะคอมเมอร์เชียลถือเป็นตลาดใหญ่ และค่อนข้างแน่นอน ขณะที่ตลาดรีเทลองค์ประกอบมาก ต้องทำแบรนด์ดิ้ง มาร์เก็ตติ้ง โปรโมชัน และเล่นเรื่องราคา แต่คอมเมอร์เชียลจะเน้นราคาเป็นหลัก ช็อตเดียวสามารถขายเป็นล็อตใหญ่ได้ ถือเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะสามารถเพิ่มยอดได้ชัดเจน พร้อมทั้งเน้นแมสมีเดีย และ Online Marketing เพื่อเข้าตรงถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายให้มากขึ้นด้วย
รูปแบบ Online Marketing ที่ใช้จะเป็นอย่างไร
เป็นการสื่อสารการตลาดผ่านเว็บไซต์ต่างๆ ด้วยการซื้อแบนเนอร์ในเว็บไซต์ที่เป็น Top 5 ของกลุ่มเป้าหมาย ขณะเดียวกันมีการโคมาร์เก็ตติ้งกับเว็บไซต์ในการทำเว็บบอร์ด ทำลิงก์ เล่นเกม หรือลิงก์ให้คนเข้าไปเว็บไซต์เบนคิวเพื่อให้รู้จักเรามากขึ้น เพราะจากการวิจัยพบว่าปัจจุบันผู้ซื้อโน้ตบุ๊กส่วนมากจะนิยมเข้ามาหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตผ่านเว็บบอร์ด เพื่อสร้างความมั่นใจ จึงมองว่าสื่อตรงนี้มีความสำคัญมาก เป็นสื่อที่ยูสเซอร์สามารถเข้ามารู้จักกับเราได้มาก และช่วยทำให้เราเข้าไปสัมผัสและเซอร์เวย์กับลูกค้าได้โดยตรง
พร้อมกันนี้ยังมีแผนที่จะทำ CRM กับลูกค้าเบ็นคิวผ่านกิจกรรมรูปแบบต่างๆ เพื่อให้เขามีส่วนร่วมกับเรามากขึ้น เพื่อเป็นการสร้างแบรนด์ ลอยัลตี้กับลูกค้า เพราะถ้าเขาประทับใจในคุณภาพและการใช้งาน เขาก็จะบอกต่อไปเรื่อยๆ คิดว่าอาจจะใช้เวลา 1-2 ปีคนจะรู้จักเบนคิวในลักษณะแมสมากขึ้น
แผนการเพิ่มช็อป และศูนย์บริการวางแนวทางไว้อย่างไร
เราจะเน้นเบนคิว โซนมากกว่าเบ็นคิว ช็อปที่เป็นร้านค้าเราเองซึ่งตอนนี้มีเพียง 3 แห่งที่พันธ์ทิพย์ เซียร์ และไอที มอลล์ เนื่องจากพฤติกรรมลูกค้าส่วนใหญ่จะนิยมซื้อโน้ตบุ๊กในร้านที่มีหลายแบรนด์มากกว่า เพราะฉะนั้นปีหน้าเราจะผุดเบ็นคิว โซนมากขึ้น พร้อมทั้งตกแต่งคอนเนอร์ให้เห็นภาพแบรนด์ดิ้งเด่นชัดขึ้น ขณะที่ศูนย์บริการปัจจุบันเราให้บริการผ่านตัวแทนจำหน่าย ซึ่งได้แก่ แวลลู ซิสเต็มส์ และ ซินเน็ค ซึ่งทั้งสองมีศูนย์บริการครอบคลุมทั่วประเทศ ส่วนศูนย์บริการของเบนคิวเองตอนนี้มี 3 แห่งที่จตุจักร สะพานควาย และพันธ์ทิพย์ และปีหน้ามีแผนขยายเพิ่มที่เซียร์ ไอทีมอลล์ และหัวเมืองในต่างจังหวัด
มองสถานการณ์ตลาดโน้ตบุ๊กปีหน้าอย่างไร
ทุกๆ ปีตลาดโน้ตบุ๊กมีอัตราการเติบโตประมาณ 15-20% แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันอาจจะส่งผลกระทบกับตลาดแต่ไม่มากนัก เพราะราคาที่ลดลงมามาก บวกกับเป็นสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวัน โดยมองว่าสัดส่วนการเติบโตน่าจะลดลง 5-10% จากการชะลอการตัดสินใจซื้อ เพราะไม่มั่นใจในภาวะเศรษฐกิจ
เมื่อตลาดรวมลดจะมีผลกับเราอย่างไร เพราะปีหน้าตั้งเป้าหมายค่อนข้างสูง
ตอนนี้ยังไม่ได้มีการทบทวนเป้าหมายอีกครั้ง แต่ด้วยฐานที่เรายังเล็กอยู่เมื่อเทียบกับแบรนด์ใหญ่ เพราะฉะนั้นเรามีช่องที่จะโตอีกมาก แต่เราต้องหากลยุทธ์ที่ชัดเจนเพื่อที่จะเข้าไปสัมผัสกับยูสเซอร์ให้มากขึ้น โดยเชื่อว่าจาก 4% เป็น 5% หรือจากปีนี้ที่คาดว่าจะมียอดขายที่ 30,000 เครื่องเป็น 80,000 เครื่องในปีหน้า น่าจะเป็นไปได้
ประเมินโอกาสเบ็นคิว
โอกาสที่เบ็นคิวจะไต่ขึ้นสู่ Top 5 โน้ตบุ๊กในเมืองไทยนั้น ผู้เชี่ยวชาญจากไอดีซีวิเคราะห์ให้ฟังว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะการแข่งขันในตลาดโน้ตบุ๊กนับวันจะสูงมากขึ้น และถ้าจะขึ้นเป็น Top 5 ต้องแข่งกับยักษ์ใหญ่หลายแบรนด์ เช่น เลเนอโว เดลล์ และโตชิบา เป็นต้น ซึ่งแต่ละเจ้าก็ดึงราคาลงมามาก ในขณะที่หากดูจากโมเดลโน้ตบุ๊กของเบ็นคิวที่ผ่านมาราคายังสู้ไม่ได้
ไม่เท่านั้น หากดูผลงานในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้เบ็นคิวมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่เพียง 3% และไตรมาส 3 ที่ผ่านมาเบนคิวก็ออกโน้ตบุ๊กมาทำตลาดน้อย ส่วนการจะส่งเน็ตบุ๊กมาลุยตลาดนั้น มองว่า บรรดาเวนเดอร์แบรนด์ต่างๆ ก็ออกมาทำตลาดค่อนข้างมาก และเบนคิวเองก็ยังไม่มีแผนที่ชัดเจน
“สำหรับกลยุทธ์เชิงรุกของเบนคิวนั้น ถือว่ามาถูกทาง เพียงแต่เป็นแนวทางที่ Top 5 เดินไปในสเต็ปนี้แล้ว หากเบ็นคิวจะทำต้องทำให้แรงกว่านี้ โดยมองว่าเบ็นคิวอาจจะใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะไปถึงจุดหมายที่วางไว้ แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูไตรมาส 4 และปีหน้าว่าเบ็นคิวจะส่งโมเดลโน้ตบุ๊กมาทำตลาดกี่รุ่น รวมถึงราคา และการทำตลาดว่าจะเป็นอย่างไรด้วย”
ด้านนายถกล นิยมไทย ผู้จัดการประจำประเทศไทย ฝ่ายธุรกิจเทคโนโลยี บริษัทโตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด ให้ความเห็นว่า มีความเป็นไปได้ที่เบ็นคิวจะติดปีกสู่ Top 5 เพราะต้องยอมรับว่าแบรนด์เบอร์ 5, 6 และ 7 ตัวเลขส่วนแบ่งตลาดไม่ต่างกันมาก และการที่เบ็นคิวมีแผนจะลงมาทำตลาดเอ็นทรี ก็มีผลที่จะผลักดันส่วนแบ่งตลาดและอันดับได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นตลาดใหญ่ของเมืองไทย
แต่สิ่งสำคัญ เบ็นคิวต้องทลายอุปสรรคของแชนแนลที่ยังจำกัดอยู่ให้เป็นแมสให้ได้ เพราะเมื่อแชลแนลถูกจำกัด ย่อมทำให้การขยายตลาดถูกจำกัดไปด้วย