หลังจากทดลองตลาดมา 2 เดือน ล่าสุด DHL ก็พร้อมเปิดตัวบริการการจัดส่งในไทยแล้ว โดยเริ่มต้นจากกรุงเทพฯ และปริมณฑล จัดส่งไปทั่วประเทศ ถือเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ สร้างความพร้อมสำหรับการเตรียมจัดส่งสินค้า และมีระบบติดตามแสดงสถานะพัสดุอย่างละเอียด โดยคาดว่าผู้ประกอบการ SMEs ไทยจะได้รับประโยชน์อย่างสูงสุดจากบริการนี้
“ความไว้วางใจ” เป็นองค์ประกอบสำคัญในการช้อปออนไลน์
คุณเกียรติชัย พิตรปรีชา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีเอชแอล อีคอมเมิร์ซ ประเทศไทย กล่าวว่า “DHL ได้ทำการออกแบบการให้บริการที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ในการเข้าถึงธุรกิจอีคอมเมิร์ซ โดยมีประเทศไทยเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก เพราะทุกวันนี้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ยังเป็นคอขวดอยู่ที่ “ความไว้วางใจ” ผู้ซื้อก็ไม่กล้าโอนเงิน ผู้ขายก็ไม่กล้าส่งสินค้าให้ก่อน DHL จึงสร้างความเชื่อมั่นด้วยการเรียกเก็บเงินปลายทาง โดยเชื่อว่ารูปแบบบริการนี้จะขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซได้”
เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็น DHL คงต้องดูเรื่องความคุ้มค่าเป็นหลัก ซึ่งเป็นปัจจัยที่คนส่วนใหญ่พิจารณา เมื่อเทียบกับไปรษณีย์ไทย DHL จะเน้นไปที่เรื่องคุณภาพ และการสร้างประสบการณ์ที่ดีในการซื้อสินค้าออนไลน์ ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการรายย่อย และ SME ขนาดกลาง สินค้าที่ใช้บริการ DHL จะอยู่ในกลุ่มเสื้อผ้า แฟชั่น เครื่องประดับ เครื่องสำอาง และกลุ่มไอที ปริมาณการซื้อต่อครั้งจะอยู่ที่ 500 – 3,000 บาท
สำหรับบริการที่ DHL มอบให้ในตอนนี้ จะเป็นการรับสินค้าจากเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จัดส่งไปยังสถานที่ต่างๆ โดยชำระค่าบริการด้วยการเก็บเงินปลายทาง สร้างมั่นใจทั้งผู้ซื้อ และผู้ขาย
คาดการณ์การเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซในไทย
โดยรวมแล้วประเทศไทยมีอัตราการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซสูง เนื่องมาจากการใช้สมาร์ทโฟนที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ในขณะเดียวกัน Mobile Commerce ในไทยก็ยังไม่ถือว่าสูงมาก DHL คาดว่า ในปี 2020 ตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้นกว่า 3 เท่า มีมูลค่าสูงถึง 1.4 แสนล้านบาท (3.6 พันล้านยูโร)
ในส่วนของเทรนด์อีคอมเมิร์ซ จะอยู่ในรูปแบบของ Mobile Commerce ที่จะเติบโตไปพร้อมๆ กับสัดส่วนการใช้สมาร์ทโฟนของผู้บริโภค ซึ่งในปัจจุบันแม้จะมีผู้ใช้เพิ่มขึ้น แต่ Mobile Commerce ก็ยังไม่เติบโตเท่าที่ควร อุปสรรคสำคัญที่มองข้ามไม่ได้คือ ระบบโลจิสติกส์ ที่ยังไม่มีคุณภาพ
เปลี่ยนจาก Mail เป็น Post – eCommerce – Parcel
ทั้งนี้ การเปิดตัว DHL Commerce ในประเทศไทย ถือเป็นหนึ่งในต้นแบบของกลยุทธ์ 2020 (Strategy 2020) ของ กลุ่มบริษัทดอยช์ โพสต์ ดีเอชแอล บริษัทยังได้เปลี่ยนชื่อกลุ่มธุรกิจ Mail เป็น Post – eCommerce – Parcel ซึ่งจะให้ความสำคัญทางด้านการให้บริการ เพื่อรองรับการเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาดอีคอมเมิร์ซ
กลยุทธ์ 2020
คุณโธมัส คิปป์ ประธานกรรมการบริหาร ดีเอชแอล อีคอมเมิร์ซ กล่าวว่า “ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตทางธุรกิจสูง และด้วยตลาดอีคอมเมิร์ซเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว ผนวกกับสมาร์ทโฟนเข้ามามีอิทธิพลมากขึ้น ทำให้ ดีเอชแอล อีคอมเมิร์ซ เลือกเปิดตัวบริการจัดส่งภายในประเทศที่ประเทศไทยเป็นแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ 2020 ของกลุ่มบริษัท”
ภาพรวมหลังเปิด AEC
เมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนแล้ว จะทำให้มีการขนส่งสินค้าในภูมิภาคเพิ่มมากขึ้น แม้ตลาดอีคอมเมิร์ซในปัจจุบันจะได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็ว จนถือเป็นตลาดที่มีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม มูลค่าส่วนแบ่งของอีคอมเมิร์ซในตลาดค้าปลีกของประเทศไทย ยังถือว่าน้อยอยู่ เมื่อเทียบกับประเทศที่มีการเจริญเติบโตสูง โดยยอดขายโดยรวมจากอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยมีมูลค่าเพียง 1.7% ของทั้งหมด และคาดว่าในปี 2020 จะเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 3.5%
ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความสำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ DHL Commerce ให้ความสนใจ ด้วยขนาดของตลาดที่คาดว่าจะโตมากกว่า 20% ในแต่ละปี (ตั้งแต่พ.ศ. 2557 – 2563) ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า จะเกิดจากกลุ่มธุรกิจ SMEs จำนวนมากที่เริ่มขยับขยายกิจการมาใช้รูปแบบการขายออนไลน์มากขึ้น