หากคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่ชอบเซย์ “Yes” อยู่เสมอ แม้ว่าสิ่งนั้นจะทำให้เราอึดอัดหรือไม่สบายใจก็ตาม กับการแสดงออกถึงความกระตือรือร้นของคุณจะเป็นสิ่งดีแต่การรับทุกอย่างมาไว้บนตักไปหมด มันก็อาจทำให้คุณเครียดได้นะ
ในทางเดียวกันเมื่อคุณเซย์ Yes ด้วยความไม่เต็มใจแล้วต้องหันมาบ่นกับเพื่อนหรือคนในครอบครัว ก็รังแต่จะสร้างความรำคาญให้พวกเขาด้วย ดังนั้น คุณควรที่จะเรียนรู้การปฏิเสธ หรือเซย์ “No” เสียบ้าง แต่ในการปฏิเสธนั้นไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องปฏิเสธทุกอย่างที่คุณไม่พอใจ ฉะนั้น เส้นแบ่งระหว่างสิ่งที่ควรบอกปัดหรือไม่ควรบอกปัดอยู่ที่ตรงไหน
ดังนั้น ในบทความนี้เราจะแนะนำถึงสถานการณ์ที่ โอเค.ที่คุณสามารถบอกปัดได้อย่างเหมาะสม
1.เมื่อคุณมีโอกาสอื่นที่ดีกว่า
เวลาและพลังงานเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการทำงานมาก ดังนั้น คุณจึงมีสิทธิ์ที่จะใช้เวลาและพลังงานไปตามโอกาสที่ดีกว่าที่เข้ามา โปรเจ็คต์งานนั้นๆ ที่ได้รับก็ควรจะเติมเต็มสิ่งเวลาและพลังงานที่คุณสูญเสียไปได้ มันอาจจะดูโหดร้ายไปเสียหน่อย แต่มันอาจจะทำให้คุณสูญเสียโอกาสดีๆ ที่จะเข้ามาถึงตัวของคุณได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นสิ่งที่ดีกว่าที่คุณตอบรบไป ดังนั้น จึงควรคิดพิจารณาให้ดีก่อนที่จะตอบรับกับโอกาสต่างๆ ที่เข้ามา
2.เมื่อมันไม่มีประโยชน์ต่อคุณ
ฟังดูแล้วอาจจะดูเหมือนว่าคุณค่อนข้างเห็นแก่ตัว หรือเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง แต่อยากรบกวนให้ลองฟังก่อนว่า ข้อแนะนำนี้มีเพื่ออะไร
การที่เราเดินหนีจากสิ่งที่เราคิดว่าเมื่อทำแล้วเราไม่ได้รับประโยชน์อะไร อยากจะให้เปิดใจมองว่าไม่ใช่เรื่องผิด การช่วยเหลือเป็นสิ่งที่ดี แต่หากช่วยเหลือเสียจนตัวคุณเองลำบากหรือทำให้คุณไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรจะต้องทำ ก็อาจจะต้องพิจารณาเสียใหม่ว่าสิ่งนั้นยังจำเป็นอยู่หรือไม่ เพราะเวลาและพลังงานที่คุณได้ลงแรงหรือสูญเสียไปนั้น ไม่ได้อะไรกลับคืนมาเลย และอาจจะทำให้ให้งานอื่นๆ ล่าช้าหรือไม่สำเร็จเสียด้วยซ้ำ ซึ่งจะกระทบทั้งกับภาพรวมและตัวคุณเอง
3.เมื่อคุณไม่มีเวลา
เวลาของคุณมีค่า และยิ่งถ้าคุณเป็นประเภบ้าพลังกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลาที่จะพาตัวเองเข้าไปรับโปรเจ็คต์ใหม่ๆ อยู่ตลอด บอกตรงนี้เลยว่าคุณมีโอกาสสูงมากที่จะพยายามจะเจียดเวลาน้อยนิดของคุณตอบรับ
แต่การรับงานใหม่โดยที่คุณไม่มีเวลาเลยนั้น มันคือหายนะอย่างยิ่ง นอกจากจะส่งผลต่อสุขภาพร่างกายของคุณทำให้คุณพักผ่อนนอน ตาคล้ำเป็นแพนด้า แล้วมันยังส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานหลักอื่นๆ ของคุณอีกด้วย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณยิ่งฝืนตัวเองที่จะทำทุกอย่างให้เสร็จ แต่คุณไม่มีเวลาพอ คุณก็จะทำมันออกมาได้ไม่ดีเลย ดังนั้น ถ้าคุณรู้สึกว่างานและเวลาของคุณเต็มเอียดหมดแล้ว คุณก็ควรจะกล่าวคำว่า “ไม่” ได้แล้ว
4.เมื่อคุณไม่ใช่คนที่เหมาะสมที่สุดที่จะรับงาน
เป็นเรื่องที่ดีหากคุณมีโอกาสได้รับานที่ท้าทายความสามารถตัวเอง ซึ่งมันจะช่วยให้คุณได้หลุดออกจากคอมฟอร์ท โซน ออกมาเจอในสิ่งใหม่ๆ แต่ถ้าหากโปรเจ็คต์ที่คุณได้รับมาเป็นงานที่ทำให้คุณต้องอ้าปากเหวอ หรือในสมองคุณคิดไม่ออกเลยว่าจะทำงานชิ้นนี้อย่างไร มีแต่ความว่างเปล่าในไอเดีย บางทีนี่อาจเป็นสัญญาณให้คุณรู้ว่าคุณไม่มีทั้งทักษะและความรู้ในการทำงานชิ้นนี้ และมันอาจจะไม่เหมาะกับคุณเลยก็ได้
แน่นอนว่าคคุณอาจเก่งในทุกๆ เรื่อง และคุณอาจจะพยายามผลักดันตัวเองให้พบกับสิ่งใหม่ๆ เป็นเรื่องดีคุณจะคิดแบบนี้ แต่หากว่าคุณใช้เวลานานแสนนานในการคิดโปรเจ็คต์นี้ให้ออกซึ่งก็ยังไม่สำเร็จเสียที ในขณะที่คุณเองก็รู้อยู่ลึกๆ ดีว่ามีคนอื่นอีกที่ทำได้ และเหมาะกับงานนี้มากกว่า นั่นอาจเป็นสัญญาณบอกว่าคุณไม่เหมาะกับงานนี้และควรที่จะบอกปฏิเสธไปได้เลย
จงซื่อสัตย์กับความจริงว่าคุณไม่ใช่คนที่เหมาะที่สุดกับงานชิ้นนี้ แล้วจงเปิดโอกาสให้คนอื่นได้ทำบ้าง แล้วเอ่ยปากถามเพื่อนร่วมงานคนที่คุณคิดว่าเหมาะ ซึ่งคุณยังสามารถขอให้เขาช่วยสอนคุณได้ และก็จะช่วยคุณได้เติมเต็มอีกทักษะความรู้หนึ่งให้กับคุณได้ มันน่าจะดีกว่าคุณมาแบกรับไว้เอง
5.เมื่อมันทำให้คุณอึดอัด
หากคุณรู้สึกว่างานที่คุณได้รับทำให้ท้องไส้ปั่นป่วน เหมือนกระเพาะถูกบิดเป็นเกลียว บางทีนี่อาจเป็นสัญญาณว่า ‘มนุษย์ใช่’ ตลอดเวลาอย่างคุณต้องเซย์ No ได้แล้ว
เมื่อเกิดเหตุการณ์ว่าลูกค้าอาจจะขอให้ทำงานบางอย่างซึ่งไม่มีความชัดเจน หรือบางครั้งเพื่อนร่วมงานก็ขอให้คุณทำงานแทนให้ทั้งหมดโดยอ้างว่าป่วยไม่สบาย หรือบางทีหัวหน้าขอให้คุณทำงานบางอย่างซึ่งอยู่นอกเหนือจากแผนที่วางไว้ เหล่านี้คือสถานการณ์ที่ทำให้คุณรู้สึกอึดอัดใจได้
มันขึ้นอยู่กับคุณแล้วล่ะว่าคุณจะยืนหยัดในความเชื่อของคุณและฟังเสียงของตัวเองหรือไม่ ถ้าบางอย่างบอกกับคุณว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะทำสิ่งนี้ได้ คุณก็จำเป็นที่จะต้องปฏิเสธในสิ่งที่คุณคิดว่าไม่สมควรได้รับเงื่อนไขแบบนี้
บทสรุป
ยอมรับว่าการบอกปฏิเสธงานเป็นเรื่องยาก แต่ก็เป็นเรื่องจำเป็นเช่นกันในการทำงาน ซึ่งขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่คุณเจอ บางอย่างก็ควรปฏิเสธแต่บางอย่างก็ไม่ใช่เรื่องที่ปฏิเสธได้ ดังนั้น ลองนำข้อแนะนำทั้ง 5 นี้ไปใช้เทียบเคียงดูว่าถึงคราวที่จะสามารถเอ่ยปากเซย์ No ได้หรือยัง.