หลายคนอาจจะคิดว่า ‘สินค้ามือ 2’ ที่คนเราตัดสินใจซื้อจะต้องเป็นสินค้าแบรนด์เนมเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงรู้หรือไม่ว่ายังมีสินค้าประเภทอื่นๆ อีกมากที่ได้รับความนิยมไม่ต่างกัน และก็ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย หรือ คนเอเชียเท่านั้นที่ชื่นชอบซื้อสินค้ามือ 2 แม้แต่ในโซนยุโรปบางประเทศก็เริ่ม popular ไม่แพ้กันเลย
ผลการศึกษาของ Berenberg Bank ของเยอรมนี เปิดรายงานเกี่ยวกับ ตลาดสินค้ามือ 2 ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องระหว่างปี 2014-2020 โดยในปี 2020 คาดการณ์ว่าจะแตะระดับอยู่ที่เกือบ 10% ของตลาดสินค้าทั่วโลก คิดเป็นมูลค่าตลาดกว่า 20,000 ล้านยูโร (เกือบ 70,000 ล้านบาท) ทั้งยังประเมินไปอีก 3 ปีข้างหน้าว่าตลาดสินค้ามือ 2 น่าจะเติบโตแตะระดับที่ 15-20%
หนึ่งในข้อมูลที่น่าสนใจของธนาคารสัญชาติเยอรมัน ชี้ด้วยว่า ‘สินค้าหรู’ (luxury resale items) เป็นสินค้าที่มีการเติบโตมากที่สุดในบรรดากลุ่มสินค้ามือ 2 ทั้งหมด ซึ่งไม่ได้ระบุเจาะจงว่าต้องเป็นสินค้าแบรนด์เนมเท่านั้น แต่หมายถึงรวมสินค้า ‘ทำมือ’ (handmade) แบบงานประณีต ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสินค้าตั้งแต่ รองเท้า กระเป๋า ไปจนถึง เฟอร์นิเจอร์ และของตกแต่งต่างๆ เป็นต้น
ตลาดสินค้ามือ 2 ใน ‘เอเชีย’ เติบโตมากสุด
Fanny Moizant, co-founder และ Asia-Pacific vice-president ของเว็บไซต์ชอปปิ้งสินค้าหรู Vestiaire Collective ของฝรั่งเศส กล่าวว่า พฤติกรรมการซื้อสินค้ามือ 2 ของคนเอเชียมีความน่าสนใจมาก โดยนับตั้งแต่ปี 2018 สังเกตเห็นว่า อัตราการเติบโตจากภูมิภาคเอเชียเฉลี่ยอยู่ที่เลข 2-3 หลัก เทียบกับภูมิภาคอื่นที่เติบโตในระดับเลข 1-2 หลักเป็นส่วนใหญ่ จึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่เราทำให้เลือกฮ่องกงเป็น hub ของภูมิภาคนี้
สำหรับสินค้ามือ 2 ที่คนเอเชียนิยมซื้อมากที่สุด อ้างจากผลการศึกษาปี 2019 ของ Mintel บริษัทวิจัยด้านการตลาดของอังกฤษ ที่ชี้ว่า มีสินค้าอยู่ 7 ประเภทหลักๆ ที่คนเอเชียเลือกที่จะซื้อเป็นสินค้ามือ 2 มากที่สุด ได้แก่
-
รถยนต์
-
รถจักรยาน
-
หนังสือ
-
สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ (กล้องถ่ายรูป, โทรศัพท์มือถือ)
-
เฟอร์นิเจอร์
-
เครื่องใช้ภายในบ้าน (ตู้เย็น, โทรทัศน์, เครื่องซักผ้า)
-
ของใช้ส่วนตัว (เสื้อผ้า, กระเป๋า, นาฬิกา, รองเท้า)
สอดคล้องกับผลการศึกษาของ Global Market Insite (GMI) ของสหรัฐอเมริกา ที่ชี้ว่า สินค้ามือ 2 ได้แผ่อำนาจไปหลายประเทศเอเชียในปัจจุบัน เช่น ประเทศจีน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ไทย, เวียดนาม, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์ เป็นต้น ที่น่าสนใจก็คือ สัดส่วน ‘ผู้หญิง’ ที่ชอบซื้อสินค้ามือ 2 มีมากกว่า ‘ผู้ชาย’ อยู่ที่ 35% ต่อ 25% (เฉลี่ยระหว่างปี 2017-2019)
สินค้ามือ 2 ‘ญี่ปุ่น’ ได้รับความนิยมมากสุดในอาเซียน
สำหรับตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือที่เราเรียก ‘อาเซียน’ โดยเฉพาะในไทย กับ เวียดนาม ซึ่งเป็นตลาดที่ชื่นชอบสินค้า used goods จากญี่ปุ่นมากที่สุด ไม่ใช่แค่ ‘เสื้อผ้า’ อย่างที่เราเคยเห็นกันตามท้องถนนในไทย แต่ร้านค้าแบบออฟไลน์ที่ขายสินค้าจำพวกเครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ก็ได้รับความนิยมมากไม่ต่างกัน รวมไปถึงอุปกรณ์หรืออะไหล่รถยนต์ที่นำเข้ามาจากญี่ปุ่นด้วย
ผลวิจัยของ Japan Re-use Business Journal ให้เหตุผลที่น่าจะมีความเป็นได้ว่า ทำไมสินค้ามือ 2 ของญี่ปุ่นเกือบทุกประเภท โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และรถยนต์ ได้รับความนิยมในตลาดเอเชีย จนกลายเป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่สร้างรายได้ให้กับคนญี่ปุ่น นั่นมีอยู่ 4 เหตุผล ได้แก่
-
ราคาเข้าถึงง่ายขายคล่อง (เพราะคุณสมบัติใกล้เคียงกับชาติเอเชียอื่น)
-
คุณภาพสินค้าดี คนญี่ปุ่นนิยมใช้สินค้า (ไม่)เป็นไปตามอายุการใช้งาน คือ เลิกใช้ก่อนที่จะหมดอายุขัย เช่น เครื่องซักผ้าที่ตามมาตรฐานส่วนใหญ่ใช้งานได้ 10 ปี แต่คนญี่ปุ่นจะใช้งานเพียง 5 ปี หรือครึ่งหนึ่งของอายุการใช้งานของสินค้าเกือบทุกประเภท
-
ญี่ปุ่นมีเทศกาลและวันสำคัญที่เน้นการจัดบ้านใหม่ หรือโละของเก่า/ของไม่ใช่แล้วอยู่บ่อยๆ
-
สำหรับรถยนต์ คนญี่ปุ่นไม่นิยมใช้รถเก่าเพราะเรื่องของ ‘ค่าธรรมเนียมพิเศษ’ (extra fee) ราว 10% จากเดิมที่ต้องจ่ายภาษีทะเบียนรถอยู่แล้ว สำหรับรถยนต์เก่าที่มีอายุมากกว่า 13 ปีขึ้นไป
ไม่ใช่แค่เอเชียแต่ ‘คนยุโรป’ ก็คลั่งสินค้า used goods
ในปัจจุบันมี 2 ประเทศในโซนยุโรปที่มีห้างสรรพสินค้าสินค้ามือ 2 โดยเฉพาะ นั่นก็คือ สวีเดน และฟินแลนด์ เรียกได้ว่าเป็น business model ที่ทำให้อีกหลายประเทศในยุโรปเริ่มให้ความสนใจมากขึ้น
อย่างที่สวีเดน ในเขตชานเมืองเอสกิลสตูนา (Eskilstuna) ที่อยู่ห่างจากกรุงสตอกโฮล์มราวๆ 70 ไมล์ ได้เปิดตัวห้างสรรพสินค้า ReTuna ซึ่งเปิดให้บริการเป็นครั้งแรกในปี 2015 พูดได้ว่าเป็น secondhand shopping center แห่งแรกของโลก ทั้งนี้ Rosanna Endre ประธานโครงการ Greenpeace Sweden พูดว่า “สวีเดน ถูกยกย่องว่าเป็นประเทศที่ชูธงในเรื่องความยั่งยืนมานาน ที่น่าสนใจคือ ขยะในครัวเรือนของประเทศมากถึง 99% ถูกนำกลับมา recycled และ 50% ในจำนวนนั้นก็ถูกนำไปเผาทำเป็นพลังงาน จึงไม่แปลกที่ห้างฯ reuse ขนาดใหญ่ในประเทศจะได้รับความนิยมอย่างมาก”
ต่อมาในปี 2018 ‘ฟินแลนด์’ เป็นประเทศที่ 2 ที่มีการเปิดตัวซูเปอร์มาร์เก็ตจำหน่ายสินค้ามือ 2 ที่ชื่อว่า ‘Kierrätyskeskus’ ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเฮลซิงกิ (Helsinki) เมืองหลวงของประเทศ โดยรายงานของ WEF ระบุถึงความน่าสนใจของ reuse centresแห่งนี้ว่ามีระบบคล้ายองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร เพราะว่าศูนย์ที่นี่จะเปิดรับบริจาคสิ่งของที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว หรือสิ่งของที่ไม่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ แต่ยังซ่อมแซมสร้างมูลค่าใหม่ได้ ตั้งแต่เสื้อผ้าจนไปถึงเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ
โดยกระบวนการก็คือ จะจ้างกลุ่มคนไร้อาชีพที่มีฝีมือมาซ่อมแซมสิ่งของเหล่านี้เพื่อนำไปจำหน่ายต่อ (รายได้ที่ได้รับนำมาเป็นค่าจ้างแรงงาน) ซึ่งช่องทางจำหน่ายในปัจจุบันมีอยู่ 2 ช่องทาง ทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ ทั้งนี้ในอนาคตยังวางเป้าหมายที่จะขยาย reuse store ให้ได้อีก 7 แห่งด้วยกัน
ที่น่าสนใจก็คือ นักวิเคราะห์ของ WEF ชี้ว่า ภายในปี 2045 ประชากรโลกจะเติบโตมากขึ้นเพิ่มเป็น 9 พันล้านคน จากปัจจุบันมีจำนวน 7.5 พันล้านคน ซึ่งหมายความว่า ขยะครัวเรือนจะเพิ่มขึ้นอีก ดังนั้นการปลูกฝังเรื่อง ‘เศรษฐกิจหมุนเวียน’ (Circular Economy) จึงสำคัญมาก ขณะที่อังกฤษเป็นประเทศล่าสุดที่แสดงความสนใจจะเปิดศูนย์ reuse centre ในประเทศ โดยมองว่าจะช่วยลดขยะภายในประเทศได้อีกทางหนึ่ง
ที่มา : ft, independent, mintel, japantimes, huffpost, weforum