ในการทำการตลาดผ่านดิจิทัลนั้น วิธีการอย่างหนึ่งที่ทำกันคือการใช้ Banner หรือโฆษณาผ่านเว็บไซต์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Video Clip, Rich Media หรืออื่น ๆ ก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่นักการตลาดที่ทำกันมาคือการใช้ Flash animation ในการทำ Banner พวกนี้ หรือเมื่อกาลเวลาพัฒนาขึ้นก็ใช้ HTML5 แทน และผู้ผลิตเนื้อหาก็วาง slot ของโฆษณานั้น ๆ ไว้ โดย ถ้าผู้ผลิตเนื้อหาหรือเว็บไซต์นั้นเห็นแก่ได้ ก็จะวางช่องโฆษณานั้นไว้ตำแหน่งที่ทำให้ผู้บริโภคนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นกับโฆษณาพวกนี้ที่ทำกันมาอย่างแย่ ๆ หรือไม่สนใจผู้บริโภคก็คือการสร้างความรำคาญให้แก่คนอ่านเว็บไซต์ และทำให้คนที่อ่านเว็บไซต์นั้นต้องหาวิธีการหลีกเลี่ยง
หนึ่งในวิธีการที่ผู้บริโภคที่ใช้หลีกเลี่ยงนั้นคือวิธีการใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Ad Blocking หรือ Ad Filtering ซึ่ง Ad Blocking นั้นคือโปรแกรมในการป้องกันหรือเอาโฆษณาในเว็บไซต์นั้น ๆ ออกไป เพื่อไม่ให้มารบกวนสายตา หรือรบกวนการท่องเว็บไซต์ต่าง ๆ ของผู้บริโภค ซึ่งผู้บริโภคนั้นมีข้อดีคือ การโหลดของเว็บไซต์นั้นจะเร็วขึ้น และยังทำให้การอ่านหรือเว็บไซต์นั้นดูสะอาดมากขึ้น แถมทำให้อัตราการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ลดลงอีกมาก สิ่งที่ผู้บริโภคนั้นได้จากการใช้ซอฟท์แวร์หรือโปรแกรมพวกนี้คือ ข้อมูลส่วนบุคคลที่จะไม่ถูกติดตาม หรือการไม่ถูกฝัง Cookies โดยเว็บไซต์นั้น ๆ เพื่อการติดตาม ในการทำโฆษณาที่เรียกว่า Retargeting หรือ Remarketing นั้นเอง การติด Ad Blocking นี้ยังมีข้อดีในหมู่ผู้บริโภคที่ชอบเข้าเว็บไซต์ผู้ใหญ่ทั้งหลาย ซึ่งเว็บไซต์เหล่านี้จะอุดมไปด้วย Malware หรือซอฟท์แวร์ไวรัสต่าง ๆ ทำให้การใช้ Ad Blocking นี้ป้องกันความอันตรายต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ผู้ใช้ได้
httpv://www.youtube.com/watch?v=pVYtzF5SemU
ด้วยข้อดีที่มีมากมายของ Ad Blocker แก่ผู้บริโภค โปรแกรมหรือซอฟท์แวร์นี้กลับเป็นฝันร้ายหรืออุปสรรคสำคัญของคนทำเว็บไซต์เอง เพราะทำให้รายได้ของเว็บไซต์นั้น ๆ ขาดหายไป หรือเว็บไซต์ใด ที่มีรายได้จากโฆษณา Banner อย่างเดียวนั้นอาจจะถึงขั้นไม่สามารถดำเนินการธุรกิจต่อไปได้เพราะขาดหายไป เพราะการเห็นโฆษณานั้นลดลง หรือไม่เกิดการกดที่ Banner ของโฆษณาดิจิทัลต่าง ๆ เลย สำหรับนักโฆษณาหรือนักการตลาดดิจิทัลเองนั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นคือการทำโฆษณาที่เจาะกลุ่มที่ต้องการ หรือเว็บไซต์ต่าง ๆ นั้นคือจำนวน inventory ที่หายไปของกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ หรือการที่สารต่าง ๆ นั้นเข้าไปถึงกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งจะทำทำการตลาดออนไลน์ได้ยากหรือไม่ได้ผลต่อไป Ad Blocker นั้นในความจริงแล้วนั้นมีมานานหลายปีแล้ว แต่ในรอบปี 2014-2015 นั้นกลับกลายเป็นเรื่องสำคัญในหมู่คนทำโฆษณาออนไลน์ เพราะกลุ่มที่ใช้เครื่องมือกลับเพิ่มสูงขึ้นมากโดยเฉพาะในหมู่เด็กวัยรุ่นที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของนักการตลาด และกลุ่มนี้คือกลุ่มที่มีพลัง มีความต้องการ และมีความต้องการบริโภคและอุปโภคสูง มีการคาดการณ์ว่ามีคนกว่า 200 ล้านคนทั่วโลกใช้ซอฟท์แวร์หรือโปรแกรมนี้ ทางโปรแกรม Ad Blocker ที่มีชื่อว่า Adblock Plus นั้นอ้างว่ามีคนดาว์นโหลดซอฟท์แวร์ตัวเองกว่า 400 ล้านครั้งแล้ว ความเสียหายต่อเว็บไซต์ที่เสียรายได้นับเป็นพัน ๆ ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา และกลุ่มที่เป็นคนใช้ซอฟท์แวร์เหล่านี้คือกลุ่มคนที่เป็นคนที่ใช้อินเทอร์เนตเยอะที่สุด และสามารถเป็นพลังและกระบอกเสียงให้นักการตลาดหรือเผยแพร่เนื้อหาให้กับผู้ผลิตเนื้อหาได้มากที่สุด
เมื่อรายได้หดหายไปในหมู่คนทำเว็บไซต์และนักการตลาดนั้นไม่สามารถทำการตลาดออนไลน์ได้ง่ายขึ้น ทำให้ต้องหาวิธีการจัดการเรื่องนี้ ซึ่งในฝั่งทางยุโรปเองก็เกิดการฟ้องร้องระหว่างผู้ผลิตเว็บไซต์กับบริษัทซอฟท์แวร์ Ad Blocker และในที่สุดศาลก็ตัดสินให้ฝั่ง Ad Blocker นั้นเป็นผู้ชนะในการฟ้องร้องนั้น ในทางกลับกันหนทางที่ดีสุดของคนทำเว็บไซต์ ผู้ผลิตเนื้อหา และนักการตลาดออนไลน์ คือการทำงานร่วมกันกับซอฟท์แวร์ดังกล่าว เพื่อมีกฏเกณฑ์ว่าโฆษณาแบบไหนที่ผู้บริโภคจะเห็นได้หรือเห็นไม่ได้ นอกจากนี้การแก้ปัญหาที่ยั่งยืนของการทำเนื้อหาหรือหารายได้ให้เว็บไซต์ที่ผลิตเนื้อหา กับการทำโฆษณาของนักโฆษณานั้นคือ การทำเนื้อหาหรือโฆษณาต่าง ๆ ให้น่าดู น่าอ่าน และตรงใจคนที่อยากรับรู้
ซึ่งการทำโฆษณาและเนื้อหาให้น่าดูนั้นต่างมีหลากหลายรูปแบบ เช่น Realtime Content, Storytelling,Native Advertising, Infographic, Storytelling, meme หรือการทำงานร่วมกันระหว่างนักการตลาดและ Influencer จนออกมาเป็นเนื้อหาโฆษณาดีออกมา รวมถึงการใช้เครื่องมือหรือโลกออนไลน์อื่นๆ ให้เป็นประโยชน์เช่น Facebook, Snapchat, Instagram เพื่อสร้างความสนใจเข้าไปสู่เว็บไซต์หรือเนื้อหาที่ต้องการให้เข้าถึงผู้บริโภคนั้นเอง นอกจากนี้คนทำเว็บไซต์ควรกำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ ในการโฆษณาให้ดีเช่นการทำ Frequency Cap หรือเงื่อนไขในการเห็นโฆษณาอื่นๆ รวมทั้งการเก็บข้อมูลคนที่เข้ามาเว็บไซต์นั้นควรทำให้โปร่งใส ไม่ทำให้คนอ่านหรือดูนั้นเกิดความรำคาญขึ้นมา ในส่วนของนักการตลาดการใช้ Programmatic Advertising นั้นเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ใช้ เพราะสามารถป้อน inventory และกลุ่มเป้าหมายตามที่ต้องการได้
httpv://www.youtube.com/watch?v=_TZ6gKTESpo
การที่ผู้บริโภคนั้นใช้โปรแกรม Ad Blocker นั้นเกิดขึ้นจากความไม่ชอบหรือรังเกียจพฤติกรรมการโฆษณาและการทำโฆษณาบางประเภทในโลกออนไลน์ ดังนั้นการเข้าใจผู้บริโภคว่าอยากจะรับรู้เรื่องอะไร และทำเนื้อหาโฆษณาให้ตรงกับสิ่งที่ผู้บริโภคอยากเห็น และ อยากอ่านจึงเป็นทางออกที่ถูกต้อง Larry Page ผู้ก่อตั้งของ Google เองนั้นบอกว่าการที่ผู้บริโภคใช้ Ad Blocker นั้นเป็นเสียงสะท้อนและบังคับว่าให้นักการตลาดและผู้ผลิตเนื้อหานั้น หาทางโฆษณาหรือกลวิธีในการทำโฆษณาที่ดีและเป็นมิตรกว่านี้ นอกจากนี้ทางด้านประธาน IAB นั้นก็ได้ออกมาพูดในทำนองเดียวกันว่า การที่ผู้บริโภคใช้ Ad Blocker นั้นเป็นการที่บ่งชี้ว่ารูปแบบการทำโฆษณาออนไลน์ในปัจจุบันนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ชอบธรรมต่อผู้บริโภค และต้องมีวิธีที่ดีกว่านี้